“สำหรับผมแล้วคำว่า การเดินทาง ไม่เคยมีคำว่าสิ้นสุด มีแต่ไปต่อ ไปเรื่อยๆ และไม่คำจำกัดความใดๆมาขีดฆ่ามันออกไปจากชีวิตผมได้ หลังจากทริปที่จังหวัดเชียงใหม่ ตัวผมเองต้องเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม แต่ผมก็ยังไม่หยุดที่จะออกไปทำตามความฝันของผมนะครับ ผมว่าบันทึกเรื่องนี้ผมเกริ่นเรื่องได้เท่ห์มากเลยทีเดียว ทริปนี้ผมเลือกที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ตัวผมเองอยากไปมากและอยากท้าทายกำลังตัวเองอีกสักครั้งผมเลือกที่จะเดินทางไปยัง “จังหวัดอุตรดิตถ์” ดินแดนแห่งการห้ามพูดโกหกแต่เป้าหมายของผมจริงๆคือ “อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว” ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ เมื่อผมทราบความต้องการของตัวเองแล้วผมก็รีบทำการหาข้อมูลทันที
ดูเครียดนิดหนึ่ง ข้อมูลทั้งหมดที่ผมได้ผมจดลงสมุดบันทึกเล่มประจำของผม ทริปนี้ผมตั้งใจจะไปกางเต็นท์นอนท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ผมใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการค้นคว้าหาข้อมูลเท่าที่ผมอยากรู้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นผมจึงตัดสินใจว่าผมจะเดินทางไปทางจังหวัดไหนระหว่างจังหวัดอุตรดิตถ์หรือจังหวัดพิษณุโลก ผมโทรเช็คทุกอย่างให้แน่ใจและสุดท้ายผมจึงเลือกที่จะเดินทางไปลงที่จังหวัดพิษณุโลก
เดิมทีจะไปลงที่จังหวัดอุตรดิตถ์แต่ร้านที่ผมต้องการเช่ารถไม่อนุญาตให้ผมขี่รถไปที่เช่าออกนอกพื้นที่ พอผมฟังเหตุผลผมก็เข้าใจเจ้าของกิจการร้านเช่ารถนะครับว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อผมเลือกที่จะไปลงที่จังหวัดพิษณุโลกแล้วผมจึงทำการจองตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์กับบริษัทรูทไทยเป็นรถของบริษัทพิษณุโลกยานยนต์ ออกเดินทางวันที่ 21 ตุลาคม 2560 เวลาเดินรถ 23:00 น.
“วันที่ 20 ตุลาคม 2560 เวลา 10:15 น.” ก่อนออกเดินทาง 1 วัน ผมนั่งลิสต์รายการสิ่งของและสัมภาระที่จะต้องเตรียมตัวไปในทริปนี้
อย่างที่เห็นนี่แหละครับ เมื่อได้สิ่งของตามที่ต้องการแล้ว ผมจึงทำการกองทั้งหมดไว้ด้วยกันก่อนแล้วค่อยจัดใส่กระเป๋าในวันที่จะออกเดินทางเผื่อขาดเหลืออะไรจะได้หยิบใส่ทีเดียวเลย
“วันที่ 21 ตุลาคม 2560 เวลา 07:15 น.” วันนี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันที่ผมจะต้องเดินทางแล้ว ผมเช็คสัมภาระอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนแน่ใจว่าไม่ลืมอะไรแล้ว ผมจึงจัดการแพ็คของทุกอย่างลงกระเป๋าเป้เดินทางใบใหม่ของผม จากนั้นก็อาบน้ำไปทำงาน เลิกงานแล้วค่อยเดินทางไปเที่ยวกันต่อ วันนี้ช่วงเวลาทำงานผ่านไปเร็วซะเหลือเกิน หันไปดูเวลาใกล้ได้เวลาเลิกงานแล้วนี่หน่า
“เวลา 21:04 น.” ได้เวลาเลิกงานของผมแล้วครับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินทางไปสถานีขนส่งหมอชิตกันดีกว่า ใครอยากไป ตามมา ๆ
ผมเดินทางจากที่ทำงานของผมย่านอโศกไปที่หมอชิตโดยรถไฟฟ้าใต้ดินใช้เวลา 20 นาทีเห็นจะได้แล้วก็ต่อวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่หมอชิต พอถึงที่หมอชิตแล้วผมนำใบเสร็จที่ได้ไปแลกเป็นตั๋ว จากนั้นเดินหาชานชาลาที่จอดรถ รถจอดอยู่ที่ชานชาลา 48 เมื่อเจอแล้ว ผมจึงเดินไปหาของกินก่อนออกเดินทางแล้วค่อยมานั่งรอรถบริเวณชานชาลา
“เวลา 23:08 น.” รถมาจอดเทียบท่าที่ชานชาลา พนักงานตรวจตั๋วทำงาน ผมก็เดินหาที่นั่ง
รอผู้โดยสารขึ้นจนครบ จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกจากชานชาลามุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลกครับ ระหว่างเดินทางผมขอตัวหลับพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยกันต่อในวันพรุ่งนี้ก่อนนะครับ เจอกันที่จังหวัดพิษณุโลกครับ ฝันดีครับทุกคน
“วันที่ 22 ตุลาคม 2560 เวลา 03:51 น. รถทัวร์โดยสารเดินทางมาถึงจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเร็วกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก แต่คิดอีกมุมหนึ่งมันก็ดีเหมือนกันนะที่มาถึงก่อนเวลาเพราะตัวผมเองได้มีเวลาเตรียมการเรื่องการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ก่อนอื่นผมขอตัวไปล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อเรียกความสดชื่นก่อนดีกว่าครับ
เมื่อเสร็จแล้ว ผมจึงได้ทำการโทรหาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ผมได้หาข้อมูลเตรียมไว้ตั้งแต่แรก แต่ไม่มีใครรับโทรศัพท์ผมเลย แต่ทันใดนั้นมีพี่วินมอเตอร์ไซค์ได้เข้ามาให้คำแนะนำกับผมพร้อมพาไปเคาะร้านที่ให้เช่ามอเตอร์ไซค์ เจ้าของร้านเช่าสอบถามถึงเส้นทางของผมในการเช่ารถครั้งนี้พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ “เจ้าของร้านจึงตอบผมว่า ไม่มีว่างเลยคะ” แต่คนอย่างผมไม่มียอมแพ้อยู่แล้ว โทรไปอีกร้านหนึ่งที่อยู่ตรงสถานีรถไฟจังหวัดพิษณุโลก ร้านนี้ติดตลาดสดตอนเช้าด้วยครับ
และในที่สุดโชคก็เข้าข้างผมจนได้ ผมได้เจ้า Honda wave 100 คันนี้เป็นคู่ในการเดินทาง
ทำการบันทึกเลขไมล์วัดระยะทางจะได้รู้ว่าในแต่ละครั้งที่ผมออกเดินทาง เมื่อตกลงกันเรื่องรถได้แล้วก็ทำสัญญาเช่ากันต่อครับ
คือที่นี่ถ้าเช่ารถออกนอกพื้นจะคิดเป็นราคารถออกทริปสนนราคา 400 บาท/วัน(24 ชั่วโมง) ผมตกเช่า 2 วันเผื่อวันกลับมาไม่ทันส่งรถ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยตามกระบวนการของมัน ผมจึงนั่งรอเวลาที่จะออกเดินทางแล้วก็ขอพี่ที่ร้านชาร์จแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ไปด้วยเลยแล้วกัน
“เวลา 06.00 น.” ผมเริ่มออกเดินทางจากตัวเมืองจังหวัดพิษณุโลกมุ่งหน้าสู่อำเภอชาติตระการเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้นั่นก็คือ “อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว”
ผมขี่รถออกมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดีเลย เนื่องจากว่าผมได้โทรไปสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯไว้แล้วและเจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าสำหรับคนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกต้องขึ้นก่อนเที่ยงวัน ผมจึงต้องรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้ผมขอตั้งหน้าตั้งตาบิดอย่างเดียวก่อนนะครับ แต่ถ้าหากเจออะไรที่น่าสนใจจะมาเล่าให้ฟังและเก็บรูปมาฝากเพื่อนๆนะครับ
“เวลา 08:37 น.” มาแล้วๆ หลังจากใช้เวลาส่วนใหญ่ในการขี่รถและในที่สุดเราก็เข้าใกล้อำเภอชาติตระการเข้าไปทุกทีแล้วครับ
เลี้ยวขวาไปจากสามแยกนี้อีกประมาณ 30 กิโลเมตร เราก็จะถึงตัวอำเภอชาติตระการ แต่ก่อนที่จะมุ่งตรงเข้าตัวอำเภอเลยนั้นผมเลือกที่จะแวะร้านค้าที่อยู่ตรงทางสามแยกนั่นแหละครับเพื่อซื้อน้ำดื่มกินระหว่างทางและเตรียมขึ้นไปบนยอดภูสอยดาวด้วยครับ หลังจากนี้อีกไม่นานผมก็เดินทางมาถึงตัวอำเภอชาติตระการแล้วครับ และผมก็แวะเติมน้ำมันให้เต็มถังเพื่อความสบายใจในการขับขี่ครับ
“เวลา 09:01 น.” ผมขี่รถต่อออกจากตัวอำเภอชาติตระการซึ่งจากตัวอำเภอไปถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวนั้นระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร สำหรับผมแล้วก็อีกไม่ไกลครับจากระยะทางแค่นี้
ระหว่างที่ผมขี่รถไปยังภูสอยดาวนั้นถ้าไม่ใช่ในเขตชุมชนเมืองนานๆทีจะเจอรถสวนสักคันเล่นทำเอาผมเหงาเหมือนกันครับ การเดินทางมาจังหวัดพิษณุโลกในครั้งทำให้ผมได้รู้จังหวัดนี้สามารถเดินทางและเชื่อมต่อกับหลายจังหวัดมาก ผมขี่รถผ่านสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน , อุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว , อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ผมจะแวะตามสถานที่ข้างต้นนี้ระหว่างผมเดินทางขากลับเข้าตัวเมืองเพราะผมลองคำนวณเวลาดูแล้วถ้าเรายังขืนแวะอีกเราน่าจะไปถึงที่ภูสอยดาวช้ากว่ากำหนด
“เวลา 10:12 น.” ในที่สุดผมก็เดินทางใกล้ถึงภูสอยดาวเข้าไปทุกทีๆ และในขณะนี้ผมก็มาถึงจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ทหารแล้ว ก็ตามกฎระเบียบแหละครับเจ้าหน้าที่ทหารก็ตรวจค้นตามปรกติ เจ้าหน้าที่ทหารใช้เวลาตรวจค้นความเรียบร้อยสักครู่หนึ่งแล้วก็ปล่อยให้ผมเดินทางต่อ
ระยะทางก็ตามป้ายนี้เลยครับอีกแค่นิดเดียวผมก็จะถึงจุดหมายปลายทางในทริปนี้ของผมแล้ว ซึ่งในใจตอนนั้นตัวผมเองรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เหมือนเราได้ทำอะไรอย่างที่เท่าตั้งใจไว้
“เวลา 10:46 น.” เย้ๆ….และแล้วผมก็เดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจนได้ พอมาถึงผมก็ต้องชำระค่าธรรมเนียมในการเข้าอุทยานกันก่อนเลย สำหรับค่าเข้าอุทยานฯ นั้นผู้ใหญ่อยู่ที่ 40 บาท+ค่ารถมอเตอร์ไซค์อีก 20 บาทรวมเป็นเงิน 60 บาทครับ
แต่ผมแอบสงสัยว่าทำไมตรงบัตรชื่ออุทยานฯ ทำไมไม่ตรงกันหรืออาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกัน หลังจากชำระค่าธรรมเนียมเสร็จแล้วผมก็ทำการจอดรถ จัดสิ่งของที่จำเป็นที่จะนำขึ้นไปบนยอดดอยภูสอยดาว ตามด้วยลงทะเบียน ช่างน้ำหนักกระเป๋าและจ่ายเงินค่าลูกหาบ ค่ามัดจำขยะ ค่าพักค้างแรม
สำหรับค่าน้ำหนักกระเป๋าอยู่ที่กิโลกรัมละ 30 บาท และเมื่อทำทุกอย่างตามขั้นตอนเสร็จสรรพ ผมก็ต้องนั่งรอเจ้าหน้าที่ขับรถไปส่งที่ทางขึ้นยอดดอยซึ่งห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถ้าผมมาเร็วกว่านี้สัก 10 นาทีผมก็จะทันรถที่ไปส่งนักท่องเที่ยวที่มาก่อนหน้านี้
ผมนั่งรอไปเรื่อยๆ สักพักก็มีนักท่องเที่ยวมาเพิ่มอีก 1 คนผมเลยนั่งรอเพื่อเดินทางไปพร้อมกันเลยจะได้ไม่เสียเวลาในการไปส่งของเจ้าหน้าที่
และนี่ก็เป็นหน้าตาของรถรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวครับ แต่ผมกับนักท่องเที่ยวอีก 1 คนไม่ได้นั่งคันนี้นะครับ เพราะพี่เจ้าหน้าที่อีกท่านเขานำรถกระบะขับไปส่งให้
ไปลุยยอดดอยด้วยกันเลยครับตามมาเลย เราสองคนนี้เหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มท้ายๆที่จะขึ้นไปยังยอดดอยของวันนี้เลยครับ เจอกันที่ทางขึ้นยอดภูครับ
ถึงแล้วครับทางขึ้นยอดภูสอยดาว ด้านล่างเป็นน้ำตกชั้นที่หนึ่ง น้ำตกภูสอยดาวมีทั้งหมด 5 ชั้นครับ ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นยอดภูสอยดาวก็จะผ่านน้ำตกชั้นต่างๆ
“เวลา 11:50 น.” เป็นเวลาที่ผมจะไม่มีวันลบลืมมันออกไปชีวิตการเดินทางของผมเลย เพราะถือว่าเป็นการเดินที่สุดโหดครั้งหนึ่งในชีวิตการเดินทางของผมครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้
และนี่ก็คือป้ายบอกระยะทางที่เราจะต้องเดินเท้าขึ้นไปด้านบนยอดภูสอยดาวกันครับ แต่ครั้งนี้เราคงขึ้นไปได้เพียงแค่ลานสนสองใบนะครับ เพราะยอดภูสอยดาวที่เป็นจุดสูงสุดของที่นี่และสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศนั้นจะเปิดให้ขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ครับ
ได้เวลาเดินทางขึ้นสู่ยอดภูสอยดาวกันแล้วครับ จากนี้ผมคงต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้นยอดภูอย่างเดียวแล้วครับ หากมีสัญญาณมีเวลาผมจะอัพเดตให้ทราบในบันทึกเรื่องนี้นะครับ ผมเริ่มเท้าเข้าสู่ป่าลึกและสิ่งที่มีติดตัวไปก็มีเพียงแค่ โทรศัพท์ กล้อง น้ำ
หนทางที่ใช้สัญจรนั้นค่อยข้างเปียกและแฉะเนื่องจากเมื่อคืนฝนตกทำให้การเดินเท้าขึ้นยอดภูนั้นลำบากขึ้นกว่าเดิม
ระหว่างที่ผมเดินขึ้นไปนั้นก็จะเจอนักท่องเที่ยวรวมถึงลูกหาบเดินสวนกันลงมาเป็นระยะๆ แต่ละคนหน้าตาเหนื่อยล้ากันมากซึ่งทำให้ผมเกิดอาการวิตกกังวลพอสมควร แต่ผมจะยอมแพ้ไม่ได้
ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพานไม้ข้ามลำธารน้ำจากตรงนี้ไปทางก็จะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ผมสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนที่เดินขึ้นหรือลงยอดภูสอยดาวจะมีไม้ค้ำทั้งที่เตรียมมาเองและหาตามทางระหว่างเดินขึ้น ตอนแรกผมคิดว่ามันจะช่วยอะไรเราได้แต่พอเดินขึ้นไปเรื่อยๆแล้วผมเริ่มนึกถึงไม่ค้ำที่นักท่องเที่ยวส่วนมากเขาใช้กันเพราะมันสามารถช่วยให้เราพยุงตัวได้และค้ำยันในช่วงที่เราเดินเสียหลัก
เดินยังไม่ถึงครึ่งทางผมก็เริ่มออกอาการหอบซะแล้วพลางคิดในใจจะรอดไหมเนี่ยเรา ฮ่าๆ
มองไปข้างหน้าเห็นนักท่องเที่ยวและพวกพี่ๆลูกหาบก็หยุดพักผ่อนกัน แต่ตรงนี้ผมไม่ได้หยุดพักนะครับเพราะเนื่องจากผมกลัวถึงด้านบนยอดภูเย็นจนเกินไป และในที่สุดผมก็เดินมาถึงเนินแรกของการเดินเท้าขึ้นยอดภูสอยดาวครับ การเดินขึ้นยอดภูสอยดาวจะผ่านเนินต่างๆทั้งหมด 5 เนินด้วยกัน ตามผมมาเลยครับจะได้รู้ว่ามีเนินอะไรกันบ้างเผื่อใครมีโอกาสมาจะได้เตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อมครับ
“เนินส่งญาติ” บอกได้คำเดียวครับว่าสมชื่อจริงๆ หลายคนถอดใจเดินกลับตั้งแต่เนินนี้ก็มี เนินนี้เป็นเนินค่อนข้างสูงชันพอประมาณและปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ แต่ถ้าตรงไหนมีความชันมากก็จะมีบันไดเหล็กให้เราได้เดินขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ลดความลำบากให้กับเราสักเท่าไหร่เลยครับ กว่าผมจะเดินพ้นเนินส่งญาตินี้ไปได้ก็เล่นเอาซะผมเสียแรงไปเยอะเหมือนกัน
เนินที่สองเป็น “เนินปราบเซียน” แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้วว่าปราบเซียน ก่อนเดินผ่านนี้จะมีลานหินให้นั่งพักผ่อนก่อนขึ้นไปผจญความลำบากด้านหน้า เนินนี้เป็นเนินที่มีความลาดชันพอๆกับเนินส่งญาติแต่พื้นที่เดินจะเป็นดินแข็งและหิน ตอนแรกผมเองก็เดินหลบแอ่งน้ำ หลบโคลน แต่พอร่างกายเริ่มเหนื่อยล้าไม่ว่าจะน้ำจะโคลนก็ไม่สนละ ลุยอย่างเดียวจะเปียกหรือจะเปื้อนก็ช่างมันเดี๋ยวค่อยซักเอา ผมเริ่มเดินแซงนักท่องเที่ยวที่เดินล่วงหน้าผมมาก่อนหน้านี้ ทีละคน ทีละกลุ่ม จนมาถึงเนินที่สามกันแล้วครับ
“เนินป่าก่อ” เนินนี้สำหรับผมเป็นเนินที่ผมคิดว่าเดินเท้าได้สะดวกสบายที่สุดแล้วเพราะว่าหนทางค่อนข้างเรียบไม่ชันจนเกินไป ดินก็เป็นดินร่วนผสมดินทราย พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ตระกูลกกและกอสลับกับต้นไม้สูงใหญ่ ผมทำเวลาได้ดีมากสำหรับการเดินเท้าในช่วงนี้ มีทั้งหมด 5 เนินผมเก็บไปทั้งหมดแล้ว 3 เนินเหลืออีกแค่ 2 เนินผมก็จะทำสำเร็จตามที่ผมตั้งใจไว้แล้ว ถึงตอนนี้ผมเองยังไม่ได้กินน้ำสักหยดเลย สาเหตุที่ผมไม่ยอมกินนั้นก็เพราะว่าร่างกายผมยังไหว อีกอย่างผมคิดว่าถ้าผมกินน้ำไปตลอดทางมันจะทำให้ผมจุกและจะก้าวเดินต่อไปไม่ไหว ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นยอดภูนั้นเวลาที่ผมเจอนักท่องเที่ยวด้วยกัน ผมก็จะได้กำลังใจจากนักท่องเที่ยวที่เดินสวนลงมานี่แหละครับ “อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว” มันเป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดาแต่สำหรับผมแล้วมันแฝงไปด้วยแรงผลักดันและกำลังใจ จนทำให้ผมเดินเท้ามาถึงเนินที่สี่
นั่นก็คือ “เนินเสือโคร่ง” เนินนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงความยากลำบากและต้องสู้กับแรงโน้มถ่วงเพราะว่ายิ่งใกล้ถึงจุดสูงสุดของยอดดอยภูสอยดาวแล้ว ทางที่เดินขึ้นนั้นก็จะมีความลาดชันมากสลับกับพื้นที่มีโขดหินเวลาลงน้ำหนักเท้าทีหนึ่งถึงกับสะท้านไปทั้งขา
แต่ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินและหยุดพักเป็นช่วงๆครับ ถึงตอนนี้ผมใช้แรงไปมากทำให้เกิดความกระหายผมจึงหยิบน้ำที่เตรียมมาออกมาจิบให้พอกระหายและทรุดตัวลงนั่งพักที่โขดหิน
เหงื่อหยดลงที่โขดหิน หายใจแทบจะไม่เป็นจังหวะ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเกิดมามีแรงก้าวเดินต่อไปนั้นก็คือ “ลูกหาบ” เพราะพวกเขาทำให้ผมคิดว่าพวกเขาต้องแบกของที่มีน้ำหนัก 20-40 กิโลกรัมขึ้นหลังเดินฝ่าฟันเนินสูงชันเพื่อเอาของไปส่งให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อแลกกับเงินไปจุนเจือครอบครัวพอย้อนกลับมามองตัวเราเองขึ้นมาที่นี่เพื่อขึ้นมาชมความงามของธรรมชาติแถมเดินตัวเปล่าอีกแล้วผมจะยอมแพ้ได้ไง เท่านั้นแหละครับมันทำให้ผมกลับมามีแรงอีกครั้ง
ยิ่งพอเดินมาถึงและเห็นป้ายนี้เข้าผมถึงกับอมยิ้มเลยครับ มันใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว เราจะทำได้แล้ว และในที่สุดผมก็เดินเท้ามาถึงเนินที่ห้าซึ่งเป็นเนินสุดท้ายก่อนถึงยอดภูสอยดาวที่เป็นลานสนและจุดกางเต็นท์
“เนินมรณะ” ชมชื่อจริงๆ อย่างที่บอกครับยิ่งใกล้ถึงจุดสูงสุดทางก็จะยิ่งชัน เนินบริเวณนี้เป็นทางลาดชันประมาณ 45-60 องศาครับและถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า
ช่วงที่ผมเดินขึ้นจากเนินมรณะไปยังลานสนบนยอดดอยนั้นอยู่ดีๆก็มีกลุ่มหมอกและเมฆพัดผ่านมาพอดีและทันใดนั้นเองที่ที่ผมคิดไว้มันก็เกิดขึ้นกับผมจนได้
ฝนนะซิครับ และสิ่งที่ผมห่วงมากที่สุดก็คือกล้องถ่ายรูปถึงฝนจะตกไม่แรงแต่ตกหนาเม็ดมาก และอุปสรรคที่ตามมาระหว่างที่ฝนตกนั้นก็คือทางที่เดินขึ้นก็จะลื่นแถมเมื่อเสื้อผ้าเปียกแล้วมันจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวเราอีก สายตาจับจ้องไปด้านบน ขาก้าวย่างด้วยความเหนื่อยล้า ค่อยๆขยับทีละนิดๆ
ในใจภาวนาให้ฝนหยุดตกเสียที แค่เดินตัวไม่เปียกก็จะไม่ไหวแล้วนี่ฝนซ้ำลงมาอีก
“เวลา 14:23 น.” ในที่สุดรอยยิ้มก็เปื้อนบนใบหน้าผมผสมกับโคลนเล็กน้อย
ผมเดินเท้ามาถึงลานสนภูสอยดาวแล้ว ถึงจะยิ้มหรือดีใจมากเท่าไหร่ ความเหนื่อย ความล้า มันไม่ไม่ได้หายไปจากตัวผมเลย อย่างที่เขาว่ากันว่า “สุขปนทุกข์” มันเป็นแบบนี้นี่เอง
ถึงแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานและเป็นที่ระลึกกับเขาสักหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าผมมาไม่ถึง ฮ่าๆ จากตรงนี้ผมต้องเดินเท้าไปอีกประมาณ 500 เมตรก็จะถึงลานกางเต็นท์ครับ
เดินไปผมก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพลานสนสองใบไปด้วย เห็นว่าลานสนที่นี่มีเนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่เลยทีเดียว
ถ้าใครที่มาในช่วงเดือนสิงหาคม-เดือนกันยายน ก็จะได้สัมผัสความงามของทุกดอกพญาหงอนนาคบานเต็มท้องทุ่งลานสนสองใบเลยครับ
“เวลา 14:40 น.” ผมเดินเท้ามาถึงลานกางเต็นท์ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้
ผมเดินมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ด้านบนเพื่อไปรับสัมภาระที่จ้างลูกหาบขนขึ้นมาจากด้านล่าง
ผมเดินผ่านเต็นท์ของนักท่องเที่ยวมากมาย พลางสอดส่องสายตาหาที่สำหรับกางเต็นท์ของตัวผมเองด้วย แต่พอผมไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสัมภาระของผมยังมาไม่ถึง ผมจึงนั่งรอและทำการลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ด้านบนก่อน
ในระหว่างที่ผมนั่งรอลูกหาบอยู่นั้น ผมก็รู้สึกหิวมาก หิวจนบอกไม่ถูก ผมเข้าใจเลยว่าคนที่หิวจนเป็นลมเขารู้สึกยังไง ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะขอซื้อมาม่าต่อจากพี่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพราะของกินทั้งหมดผมอยู่ในกระเป๋าที่จ้างลูกหาบนำขึ้นมา พวกพี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็ใจดีแบ่งให้ผม 1 ซองพร้อมกับต้มให้ด้วย
ผมเองรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในน้ำใจของพวกพี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานฯ มากและถ้าไม่ได้มาม่าห่อนี้ผมคงไม่มีแรงหรือเป็นลมไปแล้วก็ได้ ผมนั่งคุยและสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในด้านต่างๆที่ผมควรจะต้องรู้และสิ่งที่ผมกับนักท่องเที่ยวควรจะต้องรู้มีดังนี้
พอผมรู้เท่านั้นแหละผมจึงรีบน้ำขวดน้ำดื่มของผมซึ่งกำลังจะหมดรองน้ำฝนไว้กินในตอนกลางคืนและช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ข้างบนนี้ด้วย
ถ้าคนที่รักความสะอาดก็ต้องทนนะครับถ้าอยากมาเที่ยวที่นี่ ส่วนข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ หากนักท่องเที่ยวคนใดสนใจจะเช่าทางเจ้าหน้าที่จะมีตั๋วที่เราได้มาตั้งแต่ตอนไปชั่งกระเป๋าและจ้างลูกหาบตอนขาขึ้นมาด้านบน ส่วนใครจะเช่ายืมอะไรเจ้าหน้าที่ด้านบนจะเขียนลงใบบันทึกรายการและนำมาชำระเงินด้านล่าง ผมนั่งรอกระเป๋าสัมภาระผมนานพอสมควรก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมา ผมจึงไม่อยากปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆ จึงตัดสินใจเดินไปดูหลักแบ่งเขตระหว่างประเทศไทย-ประเทศลาว
ย้ำนะครับว่าไม่ใช่หลักกิโลฯ แต่เป็นหลักแบ่งเขตของสองประเทศที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้
จากนั้นก็เดินชมความงามบริเวณรอบต่อครับ ลมพัดแรงพาสายหมอกพัดกระจายไปทั่ว มันช่างเป็นเวลาที่ผมมีความสุขซะเหลือเกิน
“เวลา 17:34 น.” หลังจากรอสัมภาระจากลูกหาบจนใกล้จะมืดแล้ว และในที่สุดสิ่งที่ผมรอมาหลายชั่วโมงก็มาถึงเสียที ผมจึงไม่รอช้ารีบรับสัมภาระของผมและไปหาที่กางเต็นท์ก่อนที่ฟ้าจะมืดลง(เต็นท์ข้างๆผมเป็นคนสุพรรณฯเหมือนกัน เลยได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันบ้าง)
กางเต็นท์เสร็จผมก็นำผ้าใบกันฝนมาคลุมเต็นท์ไว้อีกชั้น เนื่องจากสภาพอากาศไม่น่าไว้วางใจ พอกางเต็นท์และขึงผ้าใบกันฝนเสร็จเท่านั้นแหละครับ ผมล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปเลย
“เวลา 20:33 น.” ผมผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีฟ้าก็มืดเสียแล้ว ถังน้ำที่เช่ามาเพื่อเตรียมจะไปอาบน้ำก็ไม่ได้ใช้ ผมเลยตัดสินใจไม่อาบน้ำแต่ใช้วิธีเช็ดตัวเอาครับ ด้วยทิชชูเปียกที่ผมเตรียมมา 1 แพ็คใหญ่ พอเสร็จสิ้นจากการอาบน้ำ(ใช่มะ) ผมก็เริ่มรู้สึกหิว ผมจึงเปิดกระเป๋าและน้ำอาหารที่ผมเตรียมมาออกมากินเป็นอาหารมื้อเย็นในวันนี้
มาคนเดียวก็เลยเตรียมมาแค่นี้แหละครับ แต่ถ้าใครอยากกินชาบูหรืออาหารอื่นๆ ก็ต้องแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ก่อนที่ลูกหาบชุดสุดท้ายจะขึ้นมานั่นก็คือก่อนเวลาบ่าย 2 โมงนั่นเอง แต่ถ้าสั่งหลังจากเวลาบ่าย 2 โมงจะต้องรอลุ้นว่าจะมีคนขึ้นมาอีกไหมหรือไม่อย่างงั้นต้องรอวันถัดไปเลยครับ ส่วนผมก็กินเท่าที่มีนี่แหละครับ
“เวลา 21:00 น.” หลังจากอาบน้ำแห้งและกินมื้อเย็นเสร็จผมก็เตรียมตัวเข้านอน แต่ แต่ แต่ ก่อนที่ผมจะล้มตัวลงนอนผมเปิดไฟฉายส่องเพื่อดูความเรียบร้อยบริเวณรอบๆเต็นท์ ผมก็ส่องไฟไปเจอสิ่งที่ผมกลัวมาตลอดชีวิตการเดินทางของผมนั่นก็คือ ทากดูดเลือด ผมนี่ถึงกับร้องตกใจเลยครับแต่ก็กลั้นใจใช้ทิชชู่จับแล้วพันเป็นสิบๆรอบและยัดลงถุงขยะแล้วมัดอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้มันออกมาได้อีก(จะหลับลงไหมเนี่ยเรา) ฝันดีครับทุกคน
“เวลา 22:15 น.” ผมต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งอันเนื่องมาจากฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนทำให้มีน้ำซึมเข้ามาในเต็นท์ของผม ผมจึงนำเสื้อที่ใส่แล้วมาซับน้ำที่ซึมเข้ามา ขืนยังตกนักแบบนี้ทั้งคืนเต็นท์ผมคงเอาไม่อยู่แน่ๆ และถ้าขืนฝนยังตกอยู่แบบนี้ผมคงไม่ได้นอนทั้งคืนแน่ๆ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจหลับในท่านั่งนั่นแหละครับ ผมหลับในท่านั่งได้สักพักก็ต้องทิ้งตัวลงนอนตามเดิมเพราะทนฝืนร่างกายอันเหนื่อยล้าไว้ไม่ไหว คิดว่าเปียกก็เปียกไปขอนอนพักเอาแรงก่อน
“วันที่ 23 ตุลาคม 2560 เวลา 06:13 น.” ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวที่เปียกจากน้ำฝนที่ซึมเข้ามาในเต็นท์เมื่อคืนแต่ก็ยังโชคดีที่กระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าผมไม่เปียกไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามถึงตอนเช้าแล้วฝนก็ยังไม่หยุดตกเลย ผมเดินไปตักน้ำที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมาแปรงฟันพร้อมนำของที่เช่ามาไปคืนด้วยเลยจะได้ไม่เสียเวลา
ระหว่างนั้นก็เจอพวกพี่ๆลูกหาบกำลังก่อไฟต้มน้ำกันอยู่ บางคนก็เพิ่งตื่น บางคนก็เตรียมพร้อมที่จะกินอาหารเช้าเพื่อเติมพลังก่อนขนของลงจากยอดลานสนภูสอยดาว
ดูสภาพตามพื้นเอาแล้วกันครับว่ามันเฉอะแฉะแค่ไหน
“เวลา 06:32 น.” ผมเริ่มทำการเก็บเต็นท์ของผมท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุด วันนี้ผมตั้งใจที่จะเดินลงไปข้างล่างเป็นคนแรก สาเหตุที่ผมต้องเดินลงเป็นคนแรกก็เพราะว่าการเดินลงก็ใช้เวลานานพอสมควรและผมยังจะต้องแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆที่อยู่ระหว่างทางที่ขี่รถกลับด้วย อีกทั้งวันนี้คงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องเดินทางกลับลงไปด้านล่าง ถ้าหากผมรอเวลามันจะทำให้การเดินเท้ากลับของผมช้าลง
“เวลา 07:03 น.” เมื่อทุกอย่างพร้อมผมก็เริ่มเดินทางกลับลงไปด้านล่างเลยครับ
โชคดีมากที่ผมติดเสื้อกันฝนมาด้วย ตอนเดินลงจากยอดลานสนภูสอยดาว วันนี้ผมตัดสินใจแบกกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากกว่า 14 กิโลกรัมลงด้วยตัวผมเอง เพราะว่าวันนี้ผมค่อนข้างรีบและถ้าจ้างลูกหาบผมก็ต้องรอสัมภาระของผมอีก ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาแบกลงเองดีกว่าครับ
ระยะทางขาลงจากลานสนภูสอยดาวตามนี้เลยครับ ผมก้าวเดินด้วยความระมัดระวังเนื่องจากพื้นที่เดินเฉอะแฉะไปน้ำฝนถ้าหากไม่ระวังอาจจะลื่นตกเขาก็เป็นได้
ฝนยังคงตกแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมก็ยังคงก้าวเดินต่อไปมีลื่นบ้าง ล้มบ้าง จนตัวผมเลอะไปด้วยโคลน ถึงตอนนี้ชุดกันฝนไม่ได้ช่วยอะไรผมแล้ว มันทำได้เพียงแค่ป้องกันไม่ให้เป้ที่อยู่บนหลังผมเปียกเท่านั้น
ผมใช้เวลาค่อนข้างรวดเร็วในการเดินลง ระหว่างทางผมก็เดินสวนกับพวกพี่ๆลูกหาบที่ทยอยเดินขึ้นไปขนสัมภาระของนักท่องเที่ยวที่อยู่ด้านบนลงมาด้านล่างซึ่งผมคิดว่าวันนี้สัมภาระน่าจะเยอะน่าดูครับ
“เวลา 08.00 น.” ผมเดินทางได้ครึ่งทางแล้วซึ่งถือว่าผมทำเวลาได้ดีมาก แต่ผมเป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรผมจึงต้องหยุดพักเอาแรงบ้าง
กิจกรรมยามว่างเวลาหยุดพัก เหนื่อยแค่ไหนไม่ว่าแต่สำหรับผมแล้วท่าต้องได้ ฮ่าๆ ผมใช้เวลาพักและดื่มน้ำตรงนี้เกือบ 10 นาที เมื่อเรี่ยวแรงกลับมาผมก็เริ่มเดินต่อ ผมตั้งใจว่าจะไปถึงด้านล่างไปน่าจะเกินเวลา 09.30 น. ไปกันต่อเลยครับ
และในที่สุดผมก็เดินทางน้ำตกที่อยู่ใกล้ทางขึ้นแล้วแต่ไม่ใช่น้ำตกชั้นล่างสุดนะครับ
จากตรงน้ำตกที่เห็นในภาพนี้ก็อีกไม่ไกลแล้วครับผมก็จะถึงด้านล่างแล้ว
“เวลา 09.37 น.” จนแล้วจนรอดผมก็ทำสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
พอถึงด้านล่างผมก็เข้าไปไหว้ขอบคุณศาลเจ้าปู่ภูสอยดาวก่อนเลยครับที่ช่วยคุ้มครองผมให้อยู่รอดปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้ จากนั้นผมก็เดินไปที่ร้านค้าสวัสดิการเพื่อทำการประทับตราอุทยานฯลงในหนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติในประเทศไทย
และอีกอย่างที่ผมจะไม่ลืมเลยนั่นก็คือการซื้อโพสต์การ์ดเขียนส่งถึงบุคคลที่ผมรักซึ่งผมทำแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่ผมมีเวลาที่จะเขียน เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างตรงนี้แล้วผมก็ต้องรอรถของทางอุทยานฯไปส่งที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ด้านล่าง
ผมนั่งรอไม่ถึง 5 นาทีก็มีรถมารับไปส่ง อยากนั่งตรงไหนเลือกเอาเพราะตอนนี้ที่ลงมามีผมแค่เดียว ส่วนวันนี้ก็มีคนขึ้นไปบ้างครับแต่ไม่เยอะเท่ากับ 2 วันแรก ผมเดินทางกลับมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อรับเงินประกันขยะคืน จากนั้นผมก็ทำการจัดข้าวของและเตรียมตัวเดินทางกลับเข้าตัวเมืองครับ
“เวลา 10:30 น.” ผมเดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวมุ่งหน้าสู่ตัวอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก ผมตั้งหน้าตั้งบิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจของผมที่เช่ามาอย่างคล่องแคล่ว ระหว่างทางที่ผมขี่รถกลับอยู่พื้นถนนเฉอะแฉะไปด้วยร่องรอยของสายฝนที่ตกลงมา สีของน้ำในลำห้วยแดงเป็นสีของโคลน บางที่มีดินสไลด์ลงมาด้วย
ทำให้เป็นอุปสรรคในการเดินทางอย่างยิ่ง ผมต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นอย่างมาก
“เวลา 11:27 น.” ผมเดินทางมาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการซึ่งอยู่เข้าไปจากถนนสายหลักที่ผมใช้เดินทางประมาณ 2 กิโลเมตร ผมขี่จนมาถึงด่านชำระค่าธรรมเนียม ผมจอดรถแล้วลงไปชำระเงินครับ
โดยปกติแล้วค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ ผู้ใหญ่อยู่ที่ 40 บาทและยานพาหนะ(รถมอเตอร์ไซค์) อีก 20 บาท แต่วันนี้ผมได้ส่วนลดคิดค่าธรรมเนียมในราคาเด็กเพียงแค่ 20 บาทเท่านั้น ผมต้องขอขอบพระคุณพวกพี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานฯ น้ำตกชาติตระการมากครับ ตามผมไปดูความงามของน้ำตกกันเลยครับ
ผมต้องเดินเท้าจากที่จอดรถเข้าไปอีก 200 เมตรก็จะถึงตัวน้ำตกครับ และสิ่งที่ผมเห็นก็เป็นไปตามภาพที่ผมถ่ายมานี่แหละครับ
เกิดน้ำป่าไหลหลาก ช่วงเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากฝนตกอย่างหนักเมื่อเช้านี้ น้ำตกชาติตระการมีทั้งหมด 7 ชั้นระยะทางเดินเพียงแค่ 1 กิโลเมตรเศษ แต่วันนี้ทางอุทยานฯ ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปผมจึงเก็บภาพมาฝากเพียงแค่ชั้นที่ 1 เท่านั้น หลังจากนั้นผมไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อทำการประทับตราประจำอุทยานฯ
ผมใช้เวลาอยู่เที่ยวชมบริเวณน้ำตกชาติตระการเพียงไม่กี่นาที ผมก็ออกเดินทางต่อครับ
“เวลา 11:45 น.” ผมขี่รถออกจากอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ ผมขี่รถจากอำเภอชาติตระการ ผ่านอำเภอวัดโบสถ์ เข้าสู่ตัวเมือง ผมขอเวลาขี่รถก่อนนะครับ แล้วเจอกันที่อำเภอเมืองครับ ยาวไปๆ
“เวลา 13:37 น.” ผมเดินทางมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดพิษณุโลกแห่งที่ 1 และสิ่งแรกที่ผมอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือหาห้องอาบน้ำซักห้องเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย ผมจึงเดินไปที่ห้องน้ำสาธารณะของสถานีขนส่งแต่พนักงานทำความสะอาดบอกกับผมว่าที่นี่ไม่อนุญาตให้อาบน้ำแล้วเนื่องบรรดาคนที่มาใช้บริการไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาความสะอาดและแนะนำให้ผมไปอาบน้ำที่ห้องเช่ารายวันที่อยู่บริเวณรอบๆสถานีขนส่ง และในที่สุดผมก็ได้อาบน้ำเสียที มันช่างเป็นอะไรที่สดชื่นมาก ผมจ่ายค่าเช่าห้องเพื่ออาบน้ำในราคา 30 บาท
“เวลา 13:50 น.” ภารกิจทุกอย่างประจำทริปนี้เสร็จสิ้นหมดแล้ว ผมจึงขี่รถเจ้า Honda Wave 100 ไปคืนร้านที่ผมเช่ามาที่สถานีรถไฟ จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นต้องขี่มาคืนเลยด้วยซ้ำเพียงโทรหาพี่ที่ร้านเช่ารถเขาก็จะมารับรถคืนเองแต่ตัวผมเองค่อนข้างเกรงใจพี่เขา หลังจากคืนรถเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับมายังสถานีขนส่งอีกครั้งเพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ
“เวลา 14:30 น.” ผมซื้อตั๋วกับทางบริษัทพิษณุโลกยานยนต์ในราคา 263 บาทได้รอบเวลา 17:15 น. เพราะรอบอื่นเต็มหมด ดังนั้นผมจึงต้องนั่งรออีกเกือบ 3 ชั่วโมงกว่ารถจะออกจากจังหวัดพิษณุโลก แอบเสียดายนิดหน่อยกะว่าจะไปถึงกรุงเทพฯไม่ดึกซะหน่อย
นั่งรอจนเบื่อ เมื่อไหร่จะถึงเวลารถออกซักทีเนี่ย บ่นไปบ่นมาตัวผมเองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาจึงเดินหาร้านข้าวนั่งกินดีกว่า
นี่ถือว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยที่สุดในการเดินทางครั้งนี้เลย เพราะที่ผ่านมาผมกินแต่มาม่ากับมันฝรั่งทอดกรอบ หลังจากกินเสร็จแล้วผมก็กลับไปนั่งรอรถทัวร์ตามเดิม ในระหว่างนั้นผมจึงหยิบโพสต์การ์ดที่ซื้อมาจากอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวขึ้นมาเขียนเพื่อส่งไปให้บุคคลที่ผมส่งให้เป็นประจำ รอรับด้วยนะครับ
“เวลา 17:15 น.” รถทัวร์จอดเทียบท่าที่ชานชาลาเด็กประจำรถส่งเสียงเรียกผู้โดยสารที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ขึ้นรถ ผมได้นั่งชั้นล่างคู่กับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต่อมาผมได้ทำความรู้จักกับพี่เขาด้วย เนื่องจากพี่ผู้หญิงคนนั้นกับผมเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรีเหมือนกัน ผมจึงมีเพื่อนคุยระหว่างเดินทางขากลับฯด้วย เป็นอันว่าทริปนี้ผมเจอคนบ้านเดียวกันทั้งตอนที่อยู่บนภูสอยดาวและตอนนั่งรถกลับบ้าน รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร เจอกันที่กรุงเทพฯ ครับ บึ้นๆ
“เวลา 23:00 น.” รถทัวร์ที่ผมโดยสารมาเดินทางมาถึงฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ผมลงรถตรงนี้และขึ้นรถแท็กซี่เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ และนี่ถือว่าเป็นการปิดทริปการเดินทางของผมในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ สรุปค่าใช้ของทริปนี้ตามนี้เลยนะครับ
ด้วยเงินจำนวนเท่านี้ก็สามารถสร้างความสุขให้กับเราได้
“การเดินทางขึ้นไปชมความสวยงามของธรรมชาติบนลานสนภูสอยดาวเราต้องใช้เวลานานในการเดินเท้าขึ้นไปซึ่งเราทุกคนก็มักจะบ่นว่าเหนื่อยแต่เราลองคิดในทางกลับกันซิว่าธรรมชาติต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะรังสรรค์สิ่งที่สวยงามให้เราได้ชื่นชม ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจึงต้องช่วยกันรักษาธรรมชาติให้อยู่กับเราตราบนานเท่านานเพราะธรรมชาติไม่เคยทำร้ายเรามีแต่มนุษย์อย่างเรานี่แหละบุกรุกและทำร้ายธรรมชาติก่อน”
-สิ่งที่ต้องเตรียมไปในการเดินทางไปภูสอยดาว
รูปภาพส่งท้ายประจำทริปนี้
ภูสอยดาวเป็นสมบัติส่วนรวมของประชาชนคนไทยทุกคน โปรดทำกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างมีสำนึกและความรับผิดชอบ
?-สวัสดี-?