คอคอดคอรินท์ เป็นผืนดินแคบ ๆ ยาวประมาณ 6.3 กิโลเมตร ที่เชื่อมระหว่างเพโลพอนนีสและส่วนที่เหลือของกรีซแผ่นดินใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคอรินท์ มีอาณาเขตติดต่อกับอ่าวคอรินท์ทางตะวันตก และอ่าวซาโรนิกทางตะวันออก
ในอดีต คอคอดคอรินท์มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมาก เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออกกับทะเลอีเจียนทางตะวันตก จึงทำให้สามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือระหว่างทั้งสองทะเลนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ คอคอดคอรินท์จึงเป็นเป้าหมายของการยึดครองและควบคุมของหลายอารยธรรมในอดีต เช่น กรีกโบราณ โรมัน ออตโตมัน และกรีซสมัยใหม่
แนวคิดในการสร้างคลองเพื่อตัดผ่านคอคอดคอรินท์มีมานานแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ กษัตริย์ไซมอนแห่งคอรินท์ (Simon of Corinth) ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างคลองแห่งนี้เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล แต่โครงการนี้ก็ต้องล้มเลิกไป เนื่องจากมีอุปสรรคด้านเทคนิคและงบประมาณ
ต่อมา จักรพรรดิเนโรแห่งโรมัน (Emperor Nero) ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างคลองแห่งนี้อีกครั้งเมื่อประมาณ 67 ปีก่อนคริสตกาล แต่โครงการนี้ก็ล้มเลิกไปเช่นกัน เนื่องจากจักรพรรดิเนโรถูกปลดจากตำแหน่ง
ในที่สุด โครงการก่อสร้างคลองคอรินท์ก็สำเร็จลุล่วงในปี พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) โดยรัฐบาลกรีซ คลองแห่งนี้มีความยาว 6.3 กิโลเมตร กว้าง 22 เมตร และลึก 8 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 12 ปี มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 17 ล้านเหรียญสหรัฐ
คลองคอรินท์ได้ช่วยลดระยะการเดินเรือระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลอีเจียนลงได้อย่างมาก จากเดิมที่ต้องแล่นเรืออ้อมเพโลพอนนีสเป็นระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร เหลือเพียง 63 กิโลเมตรเท่านั้น ส่งผลให้การค้าและการท่องเที่ยวระหว่างสองทะเลนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ คลองคอรินท์ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางทะเล เนื่องจากเรือรบสามารถแล่นผ่านคลองนี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
การก่อสร้างคลองคอรินท์ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียงอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในทะเล และสูญพันธุ์ของพันธุ์ปลาบางชนิด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรีซได้พยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยการสร้างแนวป้องกันชายฝั่งและปรับปรุงคุณภาพน้ำในทะเล
บริเวณคอคอดคอรินท์มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น
คลองคอรินท์เป็นโครงสร้างทางวิศวกรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของกรีซ คลองแห่งนี้ได้สร้างประโยชน์มากมายให้กับประเทศกรีซ ทั้งในแง่ของการค้า การท่องเที่ยว และความมั่นคง