logo
image

icon-travel-2 เที่ยวญี่ปุ่น : 4 บ่อน้ำพุร้อน ออนเซ็น ที่ต้องไปสักครั้ง

เที่ยวญี่ปุ่น : 4 บ่อน้ำพุร้อน ออนเซ็น ที่ต้องไปสักครั้ง

มกราคม 14, 2020
แชร์ :

ทัวร์ญี่ปุ่น

สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ กับ ออนเซ็น หลายเมืองในญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำพุร้อนเก่าแก่และมีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งสถานที่ชมบ่อน้ำพุร้อน และแช่ออนเซนมีหลายประเภท ทั้งบ่อกลางแจ้ง (Rotenburo) และบ่อในร่มขนาดแตกต่างกัน แบ่งแยกชาย-หญิงและบ่อรวมสำหรับบ่อกลางแจ้งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหรือเลียบแม่น้ำและแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม
น้ำพุร้อนมีบริการทั้งที่โรงอาบน้ำแร่สาธารณะหรือบ่อออนเซน ตามโรงแรมที่พัก (Hot Spring Resort) และที่พักแบบเรียงกังหากใครไม่สะดวกจะแช่รวมก็มีบริการบ่ออาบน้ำส่วนตัว (คะชิคิริ) หรือที่เรียกว่า “คะโซคุบุโระ” ซึ่งเป็นบ่ออาบน้ำสำหรับครอบครัวนอกจากแช่บ่อน้ำพุร้อนแล้ว ยังมีการแช่ตัวในบ่อโคลนหรืออบทรายร้อน และบ่อน้ำพุร้อนสำหรับแช่เท้าฟรี (อะชิยุ) อีกด้วย

เมือง Kobe, จังหวัด Hyogo, ภูมิภาค Kansai

อะริมา ออนเซ็น (Arima Onsen)

เมือง Kobe นอกจากจะเป็นเมืองท่าที่มีทัศนียภาพสวยงามแล้ว ยังมีแหล่งน้ำแร่คุณภาพดี และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นด้วย นั่นก็คือ อะริมาออนเซน ตั้งอยู่ที่เมืองอะริมา เมืองเล็ก ๆ ทางด้านทิศเหนือของเขาร็อคโค เมืองนี้มีชื่อเสียงเรื่องน้ำแร่มาตั้งแต่สมัยโบราณ มีบันทึกไว้ว่าจักพรรดิโจเม (ค.ศ. 629-641) เสด็จมาแช่น้ำแร่ที่อะริมาแห่งนี้เป็นเวลานับหลายสิบวันเลยทีเดียว นอกจากนี้จักพรรดิโคโตกุก็ทรงโปรดการแช่น้ำแร่ที่อะริมาและพักอยู่หลายวันเช่นกัน บ่อน้ำแร่ที่อะริมาส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบเป็นโซเดียมคลอไรด์กับคาร์บอเนตซึ่งมีคุณสมบัติช่วยแก้ไขอาการปวดเมื่อยร่างกาย ปวดข้อ รักษาโรคผิวหนัง ผื่นภูมิแพ้ ช่วยเรื่องความดัน และยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นอีกด้วยน้ำแร่ของที่นี่จำแนกออกเป็น Kinsen (น้ำแร่สีทอง) และ Ginsen (น้ำแร่สีเงิน โดยจะแบ่งเป็นอีก 2 ประเภท) ซึ่งเป็นความพิเศษที่ทำให้น้ำแร่ที่นี่แตกต่างจากน้ำแร่ที่อื่นๆ ในญี่ปุ่น โดยบ่อออนเซนแต่ละแห่งก็จะมีน้ำแร่คุณภาพสูงเหล่านี้ให้บริการทั้งแบบบ่อสาธารณะและตามโรงแรม ที่พัก

โรงอาบน้ำแร่ที่น่าสนใจและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว มีอยู่ 3 แห่งคือ โรงอาบน้ำแร่สีทอง Kin-No-Yu น้ำแร่ของที่นี่จะมีส่วนผสมหลักคือโซเดียมคลอไรด์และแร่เหล็กอยู่มาก จึงมีสีออกน้ำตาลแดง และเป็นที่มาของชื่อคิโนะยุ (Kin แปลว่าทอง)นั่นเอง, บ่อน้ำแร่สีเงิน Gin-No-Yu โรงอาบน้ำนี้จะชื่อคล้ายกับที่แรก แต่ที่นี่จะอ่านออกเสียงว่า “งินโนะยุ” หรือ “กินโนะยุ” (Gin แปลว่าเงิน) ตามสีของน้ำแร่จะออกใส ๆ เนื่องจากมีส่วนผสมหลักคือ คาร์บอนิก และเรเดียม ที่นี่จะค่อนข้างเงียบไม่พลุกพล่านเหมือนที่แรกนอกจากนี้ยังมี Arima Onsen Taikou-No-Yu ปกติจะขายตั๋วเป็นแพคเกจรวม (Arima Onsen Taikou-no-yu Package Tickets) โรงอาบน้ำแร่ที่นี่มีจำนวนถึง 26 บ่อ เรียกว่าเป็นออนเซนธีมปาร์คน่าจะเหมาะสมกว่าด้านในมีบ่อน้ำแร่ตกแต่งสไตล์ต่างๆ มากมาย ทั้งบ่อหิน บ่อไม้ หรืออ่างหินอ่อน เป็นต้น

นอกจากโรงอาบน้ำแร่ที่มีมากมายแล้ว ที่นี่ยังครบครันไปด้วยโรงแรมแบบญี่ปุ่น (เรียวกัง) ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก สวนสาธารณะ วัดศาลเจ้า และพิพิธภัณฑ์ ถือว่าเป็นเมืองเล็กๆ
ที่มีบรรยากาศแห่งความน่ารักโอบล้อมด้วยภูเขาสูง มีแม่น้ำเล็กๆ ไหลผ่านกลางเมืองอีกด้วย

การเดินทาง : จากตัวเมือง Kobe นั่งรถไฟจากสถานี้ Shin-kobe สาย Hokushinkyuko Railway ไปลงสถานี Tanikami แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Shintetsu Arima-Sanda ไปลงสถานี Arimaguchi จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นสาย Shintetsu Arima ลงสถานี Arima Onsen แล้วเดินต่อประมาณ 500 ม.

เวลาเยี่ยมชม : ขึ้นกับแต่ละโรงอาบน้ำ

หมู่บ้าน Noboribetsu Onsen, จังหวัด Hokkaido, ภูมิภาค Hokkaido

โนโบริเบ็ทสึ ออนเซ็น (Noboribetsu Onsen)

โนโบริเบ็ทสึ (Noboribetsu) เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ริมฝั่งทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮอกไกโด (ริมทางรถไฟจากสายซัปโปโรไปฮาโกดาเตะ) เมืองนี้อุดมไปด้วยบ่อน้ำแร่ธรรมชาติ
จึงเป็นแหล่งออนเซนที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของญี่ปุ่น โดยเฉพาะหมู่บ้าน Noboribetsu Onsen ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองโนโบริเบ็ทสึไปราว 6 กม. ว่ากันว่าน้ำพุร้อนหรือน้ำแร่ของเมืองนี้มีอยู่ถึง 9 ประเภทด้วยกันในหมู่บ้านมีโรงอาบน้ำแร่และโรงแรมที่พักมากมายเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว

เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของจิโกคุดานิ (Jigokudani) หรือหุบเขานรก (Hell Valley) อยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติ Shikotsu-Toya เป็นหุบเขาที่มีทั้งบ่อโคลนและบ่อน้ำร้อนที่เดือดตามธรรมชาติ บางบ่อก็ร้อนจนเดือดพุ่งพล่านตลอดเวลายังมีทั้งลำธารและน้ำตกที่เป็นน้ำร้อนกระจายอยู่ทั่วไป และมีไอกำมะถันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณที่นี่ยังถือเป็นแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อนที่ส่งต่อไปทั่วทุกแห่งในเมืองอีกด้วย ในระหว่างการเดินทางเข้าไปถึงจิโกคุดานิมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติ (Walking trails) ทำเป็นสะพานไม้ให้เดินข้ามไป ในเดือน มิ.ย.-ส.ค. จะมีเทศกาล Onibi no Michi (ทางเดินแห่งไฟของปีศาจ) ในงานมีการประดับประดาไฟตามทางเดินและมีการแสดงดอกไม้ไฟปีศาจ (Oni Hanabi) อย่างสวยงามที่บริเวณหหุบเขานรกจิโกคุดานิ

การเดินทาง : จากเมือง Sapporo นั่งรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) จากสถานี Sapporo มาลงที่สถานี Noboribetsu แล้วนั่งรถบัสจากหน้าสถานีมาลงป้าย Noboribetsu onsen แล้วเดินต่ออีกประมาณ 400-600 เมตร

เวลาเยี่ยมชม : หุบเขานรก 10:00-15:00 น. (ปิด Walking trails ช่วงฤดูหนาว)

เมือง Agatsuma, จังหวัด Gunma, ภูมิภาค Kanto

คุซัทสึ ออนเซ็น (Kusatsu Onsen)

คุซัทสึ ออนเซน เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ กลางหุบเขา ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาชิราเนะและภูเขาโมโตชิราเนะในเขตจังหวัด Gunma ที่นี่ได้รับการยกย่องเป็นแหล่งออนเซนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง และเป็นหนึ่งในสามแหล่งออนเซนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย จากข้อมูลระบุว่าน้ำแร่ของที่นี่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ 100%ที่ไหลออกมาจากตาน้ำ ในปริมาณมากถึง 32,000 ลิตรต่อนาที ต้นกำเนิดแหล่งน้ำพุร้อนนี้อยู่ที่ภูเขาไฟชิราเนะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ

น้ำแร่ที่คุซัทสึ ออนเซน มีส่วนประกอบของธาตุซัลเฟอร์ (กำมะถัน) อะลูมิเนียม ซัลเฟต และคลอไรด์ จึงเชื่อกันว่าเป็นแหล่งน้ำแร่ที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียและค่าความเป็นกรดสูง (pH 2.1) ซึ่งจากข้อมูลด้านประโยชน์ในการรักษา กล่าวว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย, ฟกช้ำ, เคล็ดขัดยอก, รักษาโรคผิวหนัง, ปวดข้อ, ความดันสูง เป็นต้น

จุดเด่นอีกอย่างก็คือ อ่างแช่ทำมาจากวัสดุอย่างดี โดยรีสอร์ท ออนเซน หรือโรงอาบน้ำแร่หลายแห่งยังคงใช้วิธีปล่อยให้น้ำแร่จากต้นน้ำไหลออกมาตามท่อไม้ที่ทำจากไม้สนหรือไม้ไซปรัสที่ยังมียางไม้อยู่มาก ยางไม้เหล่านี้ถือเป็นวัสดุอย่างดีในการลำเลียงน้ำแร่ที่มีค่าความเป็นกรดสูงของที่นี่

นอกจากจะได้แช่ออนเซนจากแหล่งน้ำพุร้อนคุณภาพสูงแล้ว ทัศนียภาพของเมืองนี้สวยงามเป็นธรรมชาติเหมาะสำหรับการมาพักผ่อนคลายและเป็นการพักฟื้นร่างกายที่ดีตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น

การเดินทาง : จากตัวเมือง Maebashi เมืองหลักของจังหวัด Gunma นั่งรถไฟ JR จากสถานี Shinmaebashi ไปลงที่สถานี Naganohara Kusatsu-guchi แล้วนั่งรถบัสไปลงอีก 30 นาที

เมือง Kurokawa, จังหวัด Kumamoto, ภูมิภาค Kyushu

คุโรคาวะ ออนเซ็น (Kurokawa Onsen)

ตามประวัติกล่าวว่า คุโรคาวะ ออนเซน มีมาตั้งแต่เมื่อ 300 ปีก่อน เป็นออนเซนที่เด่นดังเรื่องการรักษาโรคตั้งแต่ช่วงกลางของยุคเอโดะ ในอดีตที่นี่มีบ่อน้ำแร่อยู่หนึ่งบ่อ ซึ่งไดเมียวและนักเดินทางมากมายเคยใช้น้ำพุร้อน จากบ่อนี้ในการรักษาแผลและเชื่อกันว่าได้ผลดี ปัจจุบันบ่อนี้ได้รับการดูแลจากชาวบ้านและเปิดเป็นบ่อแช่น้ำพุร้อนสาธารณะ

ภายในคุโรคาวะ ออนเซน มีบ่อแช่น้ำพุร้อนหลายแห่งเปิดให้บริการ เกือบทั้งหมดจะเป็นบ่อแช่ออนเซนกลางแจ้ง ซึ่งอยู่ในที่พักแบบเรียวกังหรือโรงแรมทั่วไป ออนเซนที่นี่ใช้วิธีการบริหารจัดการร่วมกันเป็นระบบสมาพันธ์ในชื่อสมาพันธ์โรงแรมคุโรคาวะ ออนเซน (ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1961) ภายใต้แนวคิดเลือกที่จะอยู่ร่วมกัน แทนที่จะแข่งขันกันโดยได้นำไอเดียการการเปิดทัวร์ออนเซนแบบเก็บแต้ม โดยนำต้นแบบการใช้เหรียญนิวโตะ เทงาตะ (Nyuto Tegata) มาจากสปาในจังหวัดนางาโนะ ซึ่งนิวโตะ เทงาตะของคุโรคาวะ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมคล้ายเหรียญรางวัลพร้อมมีสายคล้องคอตัวเหรียญทำมาจากแผ่นไม้ซีดาร์ โองุนิท้องถิ่น มีชื่อเรียกว่า Onsen-Hopping Pass ราคาเหรียญละ 1,300 เยนเหรียญหรือพาสนี้เป็นเหมือนตั๋วเข้าแช่โรเท็นบุโร (Roten buro) หรือบ่อแช่ออนเซนกลางแจ้งของโรงแรมในเครือคุโรคาวะสปารีสอร์ทที่มีอยู่ราว 24 แห่ง (หากโรงแรมที่เข้าพักที่ไม่มีบ่อแช่กลางแจ้ง สามารถไปแช่บ่อของโรงแรมอื่นได้)
หนึ่งเหรียญสามารถเข้าแช่ได้ 3 บ่อ ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยกำหนดให้ใช้หนึ่งเหรียญต่อหนึ่งคน

จากความสำเร็จและผลตอบรับที่ดีของการออนเซนแบบใช้เหรียญคุโรคาวะ นิวโตะ เทงาเตะนี้ ได้เปลี่ยนเป็นคุโรคาวะออนเซน ให้กลายเป็นสปารีสอร์ทที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาคตะวันออกของญี่ปุ่น (สามารถซื้อเหรียญนี้ได้จากโรงแรมในเครือคุโรคาวะ สปา หรือจาก Visitor Center)

การเดินทาง : จากตัวเมือง Kumamoto จากสถานี Kumamoto นั่งรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express)
ไปลงสถานี Aso จากนั้นนั่งรถบัสสาย Kyushu Odan Bus for Beppu ไปยัง Kurokawa Onsen

ข้อดีของการแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่น

ออนเซ็นนั้นเป็นการแช่น้ำร้อนซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ แต่ละที่ก็จะมีส่วนผสมของธาตุเหล่านี้แตกต่างกันทำให้เมื่อแช่แล้วเราจะรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ช่วยในเรื่องของระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายชาวญี่ปุ่นจึงมักจะนิยมแช่ออนเซ็นในตอนเย็นหลังจากทำงานมาทั้งวันแล้ว

ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เรียบเนียน

ในการแช่ออนเซ็นก็เหมือนเป็นการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวสะอาด และที่บอกไปแล้วว่าช่วยในเรื่องของระบบหมุนเวียนเลือดด้วย จึงทำให้ดูมีเลือดฝาด ผิวสุขภาพดี นอกจากนี้ยังเชื่อว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับผิวหนังเมื่อแช่นออนเซ็นแล้วอาการจะดีขึ้น

ที่ญี่ปุ่นมักจะมีโรงอาบน้ำสาธารณะ ซึ่งหากบ้านไหนไม่มีที่แช่ออนเซ็นก็มักจะไปอาบน้ำกันในที่อาบน้ำสาธรณะจึงเป็นเสมือนช่วงเวลาที่จะได้พบเจอผู้คนต่างๆ บางคนอาจจะไม่คุ้นไหนกันมาก่อน
หรือหลายๆคนก็เป็นคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นเพื่อนบ้านกันจึงทำให้กลายเป็นสถานที่พูดคุยพบปะกัน และสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ ขึ้น

ทัวร์ญี่ปุ่น


บทความที่เกี่ยวข้อง