“สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่เคารพรักทุกท่าน เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือนกลับมาอีกครั้งหลังจากเราหยุดเดินทางไปประมาณ 2 เดือน และครั้งนี้เราเลือกที่จะเดินทางมาเที่ยวยังทะเลทางภาคตะวันออกของบ้านเรา หลังจากไม่ได้เที่ยวทะเลมาเป็นปีแล้ว แรกเริ่มเดิมทีเรากะจะไปเที่ยวที่ภูเก็ต แต่ด้วยเรื่องงานต้องมาก่อนทำให้เราจึงต้องยกเลิกที่จะไปที่นั่น(ภูเก็ต) กระทันหัน เมื่อได้สถานที่เราก็เตรียมหาข้อมูลในการเดินทาง หาที่พัก(แต่ไม่จองนะ) สรุปวันเวลาที่จะออกเดินทาง อ่อๆ ลืมบอกไปทริปนี้เราจะไปเที่ยวกันที่ “เกาะหวาย” ครับ เราออกเดินทางกันดีกว่าครับ
“วันที่ 4 เมษายน 2560 เวลา 04:45 น.” ผมสะดุ้งตื่นหลังจากตั้งปลุกไว้ตอนตี 3 รีบซิครับรออะไร ช่วยกันขนของใส่รถ แล้วออกเดินทางแต่กว่าจะออกจากกรุงเทพฯ จริงๆก็เกิบ 6 โมงเช้าแล้ว ทริปนี้เราเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวมุ่งหน้าสู่งจังหวัดตราด โดยใช้เส้นทางบูรพาวิถี ขับมาเรื่อยๆจนถึงจังหวัดชลบุรี เนื่องจากเราเดินทางตั้งแต่เช้าทำให้เรารู้สึกหิว ระหว่างทางก็สอดส่ายตาหาของกินไปด้วย และเมื่อเดินทางมาจนถึงจังหวัดระยองระหว่างที่ติดไฟแดงอยู่นั้นเราเหลือบไปเห็นร้านไก่ย่างวิเชียรบุรี
พอพ้นไฟแดงเราจึงรีบจอดซื้อไก่ย่างกินเพื่อเติมพลังกันก่อนครับ และเมื่อซื้อไก่ย่างเสร็จเราก็เดินทางกันต่อไปยังจุดหมายปลายทางของเรากันต่อ
“เวลา 09:30 น.” เราเดินทางมาถึงจังหวัดจันทบุรีแล้วครับ เมื่อมาถึงที่นี่เราค่อนข้างคุ้นชินกับเส้นทางพอสมควรเพราะว่าเราเคยมาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว เราก็ขับตามป้ายบอกทางกันต่อไป และก็เปิด Google Map ไปด้วยและเมื่อดูจาก Google Map ก็อีกไม่ไกลแล้วเราก็จะเข้าเขตของจังหวัดตราด
“เวลา 10:00 น.” และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจังหวัดตราดจนได้ ความง่วงที่มีมาตลอดทางระหว่างขับรถมาหายเป็นปิดทิ้ง
เมื่อเข้าเขตจังหวัดตราดแล้วเราก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปกันต่อที่ท่าเรือข้ามฟากไปยัง “เกาะช้าง” ครับ ท่าเรือข้ามฟากไปยังเกาะช้างมีหลักๆด้วยกันทั้งหมด 2 ท่าด้วยกันคือ “ท่าเรือข้ามฟาก Center Point และ ท่าเรือข้ามฟากอ่าวธรรมชาติ”(เท่าที่ผมรู้นะครับ) เราเลือกที่จะไปขึ้นเรือข้ามฟากกันที่ท่าเทียบเรืออ่าวธรรมชาติเนื่องจากก่อนออกเดินทางผมได้สอบถามไปยังเพื่อนผมที่เคยทำงานที่เกาะช้างและเพื่อนผมก็แนะนำให้ขึ้นที่นี่เพราะเร็วกว่าท่าอื่นๆ อีกอย่างเรือที่นี่จะออกจากท่าทุกๆครึ่งชั่วโมงครับ
“เวลา 10:20 น.” เราเดินทางมาถึงทางเข้าท่าเทียบเรืออ่าวธรรมชาติกันแล้วครับ
และเมื่อมาถึงเราก็นำรถเข้าไปจอดแต่เราต้องซื้อตั๋วขึ้นเรือตั้งแต่ก่อนนำรถผ่านเข้าด้านในท่าเรือเลยครับค่าเรือคนละ 80 บาท (2 คน = 160 บาท) แนะนำให้แจ้งเจ้าหน้าที่ขายตั๋วด้วยนะครับว่าจะเอารถยนต์ข้ามไปหรือป่าวเพราะราคาค่อนข้างแตกต่างกันและถ้าเราไม่นำรถข้ามฟากไปที่ท่าเทียบเรือเขาก็มีบริการรับฝากรถด้วยครับ ราคาค่ารับฝากตกอยู่ที่วันละ 100 บาทครับ ซื้อตั๋วเสร็จ จอดรถเรียบร้อยก็ไปขึ้นเรือกันได้เลยครับ
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเราที่จะได้ไปเกาะช้างกัน แต่เกาะช้างถือว่ายังไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเราในทริปนี้
“เวลา 10:30 น.” เรือสตาร์ทเครื่องยนต์เตรียมเคลื่อนที่ออกจากท่าเรือตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งถือว่าตรงเวลามากครับเมื่อเทียบกับสถานที่อื่นๆที่เราเคยเดินทางไปกันมาครับ
วันนี้นักท่องเที่ยวดูบางตาไปพอสมควรครับอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นวันธรรมดาก็เป็นได้ครับ พื้นที่บนเรือดูกว้างขวางดีครับ แบ่งเป็น 2 หรือ 3 ชั้นแล้วแต่ลำเรือครับ แต่สำหรับลำที่เราโดยสารมานั้นมีเพียงแค่ 2 ชั้นครับ
“เวลา 11:00 น.” เราเดินทางมาถึงท่าเทียบเรือเกาะช้างแล้ว จากท่าเรืออ่าวธรรมชาติถึงฝั่งเกาะช้างใช้เวลาเดินทางประมาณ 25-30 นาที เมื่อมาถึงแล้วเราจึงรีบไปขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางต่อไปยัง “ท่าเรือบ้านบางเบ้า” เพื่อเดินทางไปยัง “เกาะหวาย”
ค่าโดยสารจากท่าเรือเกาะช้างไปยังท่าเรือบ้านบางเบ้าราคาอยู่ที่คนละ 170 บาท(2 คน = 340 บาท) คนเต็มรถออกครับ พอรถออกเราจึงโทรไปถามที่ท่าเรือบ้านบางเบ้าดังนี้
เรา : สวัสดีครับ
ท่าเรือ : สวัสดีค่ะ ติดต่อเรืออะไรค่ะ ?
เรา : ไม่ทราบว่าเรือเที่ยวสุดท้ายไปเกาะหวายหมดกี่โมงครับ
ท่าเรือ : เที่ยวสุดท้ายวันนี้เที่ยงตรงค่ะ ถ้าพี่จะไปพี่ต้องมาให้ถึงที่นี่เที่ยงเป็นอย่างน้อยนะค่ะ แล้วตอนนี้อยู่ไหนแล้วค่ะ ?
เรา : ไม่ทราบครับ เพราะเราเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก
ท่าเรือ : ค่ะๆ ยังไงช่วยบอกคนขับให้เร่งให้หน่อยนะคะ
แล้วเมื่อเราได้ยินแบบนั้นทำให้เรารู้สึกเป็นกังวลเป็นอย่างมากครับเนื่องจากรถโดยสารสองแถวที่นี่เขาจะจอดส่งผู้โดยสารตามจุดต่างๆตามที่ผู้โดยสารต้องการ อีกทั้งผู้โดยสารแต่ละคนไม่ได้จุดเดียวกันทั้งหมดทำให้เรารู้สึดกังวลอย่างที่บอกไปเมื่อข้างต้น พลางเราก็ดูเวลาเป็นระยะๆ และเมื่อคนขับรถจอดส่งนักท่องเที่ยวจุดสุดท้ายที่โลนลี่ บีช เราจึงขอให้พี่คนขับรถเร่งให้เราหน่อยพี่เขารับปากว่ายังไงต้องทัน
“เวลา 12:00 น.” เราสองคนเดินทางมาถึงท่าเรือบ้านบางเบ้าจนได้และรีบเดินไปที่ร้านขายตั๋วเรือโดยเร็ว และแล้วเราก็ได้ตั๋วเดินทางไปเกาะหวายกับแบบเฉียดฉิว
ถึงตอนนี้เราก็สบายใจละ เพราะยังไงๆก็ได้ไปแน่นอนครับ เรือโดยสารจะมี 2 ประเภทครับ
เราสองคนมาทันรอบเที่ยงจะได้นั่งเรือสปีดโบ๊ทและเป็นเที่ยวสุดท้ายของวัน เราจองทั้งขาไปและขากลับจากราคา 400 บาท น้องคนขายตั๋วใจดีเลยลดราคาให้เราเหลือคนละ 350 บาทและเมื่อรวมทั้งขาไปและขากลับก็ตกอยู่ที่คนละ 700 บาท(2 คน = 1,400 บาท) ส่วนรอบเวลานั้นเท่าที่ผมโทรถามน้องคนขายตั๋วถ้าผมจำไม่ผิดนะเที่ยวแรกน่าจะประมาณ 9 โมงเช้า รอบถัดมาน่าจะประมาณ 9 โมงครึ่ง และเที่ยวสุดท้ายเที่ยงตรง ยังไงถ้าสนใจจะไปลองโทรสอบถามตามเบอร์ที่อยู่บนตั๋วได้เลยครับเพื่อความแน่นอน หลังจากจ่ายค่าตั๋วเรียบร้อยแล้วเราจึงเดินไปหาซื้อของกิน ของใช้ กันที่ร้านสะดวกซื้อครับ กันไว้ก่อนเผื่อที่โน่นไม่มีของขายเราจะได้มีของประทังความหิว หลังจากนั้นเราก็เดินไปที่ท่าเรือ
เมื่อเราเดินมาถึงก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยกันมาขึ้นเรือกันบ้างแล้วครับ ลูกเรือก็ช่วยกันขนสัมภาระขึ้นเรือจนครบทุกคน นักท่องเที่ยวนั่งกันเต็มลำเรือเราสองคนจึงต้องทนแดดทนร้อนย้ายมานั่งข้างหน้า ไม่เป็นไรครับเรายอมเสียสละได้เพราะเราคือเจ้าบ้านที่ดีและนี่คือหน้าที่คนไทยที่พึงมีต่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวในบ้านเรา
ลูกเรือตรวจนับจำนวนนักท่องเที่ยว ตรวจเช็คสัมภาระและเมื่อครบแล้วเราก็เตรียมตัวออกเดินทางกันเลยครับ
“เวลา 12:00 น.” เรือออกจากท่าเรือบ้านบางเบ้ามุ่งหน้าไปส่งนั่งท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เกาะหวาย , เกาะหมาก , เกาะกูด
ทั้งลำเรือมีเราสองคนเท่านั้นที่ลงที่เกาะหวาย จากท่าเรือบ้านบางเบ้าถึงเกาะหวายโดยสปีด โบ๊ท ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที(ทั้งนี้ขึ้นอยู่สภาพดินฟ้าอากาศและคลื่นลมในทะเล) สำหรับวันที่เราเดินทางคลื่นลมสงบเรือวิ่งสบายดูแล้วไม่น่าจะเกิน 15 นาทีครับ
“เวลา 13:00 น.” เราเดินทางมาถึงที่เกาะหวายซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้ จริงๆแล้วเราน่าจะมาถึงเร็วกว่านี้แต่เนื่องจากต้องรอนักท่องเที่ยวอีก 5 คนที่มาถึงท่าเรือช้าทำให้เราเดินทางมาถึงในช่วงบ่าย
เมื่อเดินทางมาถึงเราก็เดินหาห้องพักคืนนี้ก่อนครับโดยเริ่มจากการเดินไปทางฝั่ง “เกาะหวาย พาราไดซ์” ก่อนครับ แต่ในใจเราคิดไว้แล้วว่เราจะพักกันที่ไหนครับแต่ขอเดินดูให้ทั่วก่อน
สาเหตุที่ต้องเดินดูให้ทั่วเพราะว่าเราไม่รู้ว่าที่เราจะพักกันมันอยู่ตรงไหน นึกแล้วขำตัวเอง ฮ่าๆ และเมื่อเดินจนสุดชายหาดแล้วก็ไม่มีที่พักแล้ว เราจึงเดินย้อนกลับมาตรงที่เรือจอดส่งเรา จึงถามป้าที่ร้านอาหารว่า
เรา : ป้าครับ “Good Feeling” อยู่ไหนครับ ?
ป้า : ตรงนี้แหละหนู
เรา : ครับ…..ผมโทรมาสอบถามห้องว่างเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านนี้ครับ…
ป้า : เอ๋อ….มีหนูคืนละ 600 บาท
เรา : ได้ครับ….แล้วบ้านพักอยู่ตรงไหนครับป้า ?
ป้า : อยู่หาดด้านโน้น หนูต้องเดินเลาะเขาไปอีก 5 นาที(แกชี้ให้ดู) แต่ป้าไม่มีคนไปส่งนะ
เรา : ได้ครับเดี๋ยวผมเดินกันไปเองครับ
หลังจากตกลงเจรจาค่าห้องกันเสร็จ เราก็เดินซิครับรออะไร ระยะทางบอกตรงๆครับไม่ใช่ใกล้ๆ
และนี่ก็คือเส้นทางเดินระหว่างบ้านพักกับร้านอาหารที่เป็นจุดต้อนรับลูกค้า เส้นทางไม่ได้ราบเรียบเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะเราเพิ่งเคยมาที่นี่เลยยังไม่ชินกับทาง ฮ่าๆ แต่ก็เดินอีกอึดใจเดียวเราก็เดินมาถึงที่พักกันแล้ว พอเห็นที่พักแล้วเราหายเหนื่อยเป็นปิดทิ้งเลยครับ
บ้านพักติดกับชายหาดพอดีเลยมันเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆเลยครับ
มันคุ้มมากกับเงิน 600 บาทที่จ่ายไป เราได้บ้านพักหมายเลข 11 ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่าที่บ้านพักไม่มีพัดลม ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆนอกจากหลอดไฟที่ให้ความสว่างเพียงแค่ 3 หลอดเท่านั้น ไม่มีปลั๊กเสียบไฟฟ้า และที่เกาะหวายจะมีไฟฟ้าให้ใช้ตั้งแต่เวลา 17:30 – 22:00 น.เท่านั้นหลักจากนั้นไฟฟ้าจะถูกตัดและมืดมากแนะนำให้เตรียมไฟฉายและตะเกียงไปด้วยจะดีมาก สำหรับเราแล้วมันไม่ใช่ปัญหาเพราะเราต้องการความเงียบสงบอยู่แล้ว พลางคิดในใจถ้าร้อนขึ้นมาจะนอนได้ไหมเนี่ย พอถึงแล้วเราก็จัดการเก็บกระเป๋าและเปลี่ยนชุดเพื่อลงเล่นน้ำทะเลกันครับ
นี่ไงครับชายหาดที่อยู่หน้าบ้านพักเราน้ำทะเลใสมาก
เตรียมตัวลงน้ำกันได้แล้วทรายที่นี่ถือว่าอยู่ในระดับที่ขาวพอสมควรครับ
ผมนี่ตื้นเต้นมากไปหน่อยเลยขอลงทะเลก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ ด้านหลังที่ผมยืนอยู่นั้นเป็นแนวปะการังทั้งหมดครับ ผมจึงรีบไปเปลี่ยนชุดและเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ดูปะการังครับ แต่ก่อนลงไปดูปะการังเราสองคนก็เดินถ่ายรูปเล่นกันบริเวณริมหาดกันก่อนครับ
มาเพื่อพักผ่อนจริงๆครับ หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วเราก็ใส่ชูชีพ ใส่แว่นตาดำน้ำ เพื่อไปว่ายน้ำดูปะการังน้ำตื้นกันครับ
เราเตรียมกล้อง Action Camera มาด้วยเพื่อจะถ่ายภาพใต้น้ำไปฝากเพื่อนๆที่ชอบเที่ยวเหมือนกับเรา แต่ด้วยความผิดพลาดบางประการของผมที่ไปเปลี่ยนฝาของ Housing กล้องและลืมดูว่ามันมีช่องที่น้ำสามารถเข้าได้ เมื่อจุ่มลงไปได้น้ำก็เรียบร้อยซิครับ พังแน่นอนครับ ผมนี่ถึงกับเสียอารมณ์มาก แต่ผมก็ไม่หมดความพยายามที่จะเก็บภาพใต้น้ำมาฝากเพื่อนๆนะครับ ผมจึงใช้ซองกันน้ำที่เตรียมมาแทนและมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง
มีทั้งปลา หอยมือเสือ และปะการัง รูปแบบอื่นๆมากมาย ทำให้เราสองคนสนุกและเพลิดเพลินกันเป็นอย่างมากครับ
รูปพวกนี้ได้จากกล้องมือถือใส่ซองกันน้ำครับ จริงๆแล้วภาพใต้น้ำที่ผมเห็นด้วยตาตัวเองมันมีอีกเยอะแยะมากมาย
แต่ด้วยอุปสรรคที่เราพบเจอมันทำให้เราสามารถเก็บภาพใต้น้ำมาได้เพียงเท่านี้ครับ ถ้าเป็นกล้องถ่ายภาพใต้น้ำจะชัดกว่านี้มากครับ อีกอย่างโทรศัพท์ใส่ซองกันน้ำเวลาอยู่ใต้น้ำมันจะเกิดอาการรวนครับ ซูมเข้า-ออก เองตลอดเวลา ในช่วงที่เราว่ายน้ำดูปะการังกันอยู่นั้นอ่าวข้างซึ่งเป็นที่พักของ “เกาะหวายปะการัง รีสอร์ท” เราก็จะเห็นเรือนำนักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการังอยู่ตลอดเวลา
ผลัดกันเข้า ผลัดกันออกตลอดทั้งวันเลยครับ ดูแล้วน่าสนุกดีครับ เราใช้เวลาพอสมควรกับการเล่นน้ำทะเลและดูปะการังจากนั้นก็อาบน้ำและนอนพักผ่อนกันครับ ขอนอนพักแป๊บหนึ่งนะครับ เดินทางเหนื่อยมาทั้งวันละ
“เวลา 17:00 น.” เราตื่นนอนจากการนอนพักผ่อนในช่วงเวลากลางวันแล้วเราก็เตรียมตัวเดินเท้ากันไปหาอะไรกินตรงร้านอาหารที่อยู่ด้านหน้าที่เราลงจากเรือขึ้นฝั่งเมื่อตอนช่วงบ่าย แล้วก็เตรียมสายชาร์จโทรศัพท์ไปชาร์จแบตเตอรี่ด้วย อย่างที่บอกไปเมื่อข้างต้นไฟฟ้าที่นี่จะเปิดให้ใช้ตั้งแต่ 17:30 – 22:00 น. ระหว่างรอไฟฟ้ามานั้นเราก็สั่งอาหารมื้อเย็นของเราในวันนี้มากินกันก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและเมื่อเราสั่งอาหารเสร็จแล้วระหว่างนั่งรออาหารก็ถึงเวลาที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้มาถึงเราจึงรีบนำโทรศัพท์มือถือและ Power Bank ไปชาร์จสำหรับการใช้งานในค่ำคืนนี้ และอีกไม่นานป้าเจ้าของรีสอร์ทก็นำอาหารมาให้เราสำหรับอาหารของเราในวันนี้มีดังนี้ครับ
ผัดซีอิ้ว , ข้าวผัดหมู และยำรวมมิตรทะเลส่วนราคาก็เริ่มต้นที่ 80-90 บาทเมื่ออาหารมาวางตรงหน้าแล้วเราก็ไม่รอช้าครับ กินกันเลย !!!!
“เวลา 17:45 น.” หลังจากกินข้าวเย็นกันจนเสร็จแล้วเราก็เดินกลับไปยังที่พัก แต่ก่อนเดินกลับไปยังที่พักเราก็แวะถ่ายรูปเล่นบริเวณรอบๆกันสักครู่หนึ่ง
คู่สามีภรรยาเจ้าของ “Good Feeling” ที่เราพักกันนั่นแหละครับ รวมถึงเป็นคนที่เข้าครัวทำกับข้าวให้เรากินด้วย
กิจกรรมยามว่างของคนที่อาศัยอยู่บนเกาะหวายแห่งนี้ครับ
คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนมาดามของผมเองครับ แต่การถ่ายภาพของเราแอบเสียดายนิดหนึ่งครับเพราะเดิมทีเราว่าจะไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่อยู่อีกด้านของเกาะหวายแต่เมื่อดูเวลาแล้วคงไม่ทันแน่ๆ ก่อนกลับไปยังที่พักเราก็ซื้อขนมที่ร้านอาหารไปเพิ่มรวมถึงน้ำแข็งด้วยไม่ต้องเดานะครับว่าเราซื้อน้ำแข็งไปทำอะไร รู้ๆกันอยู่ครับ เราซื้อมาจากร้านสะดวกซื้ฝั่งบ้านบางเบ้าครับ
“เวลา 18:00 น.” เราเดินกลับมาถึงบ้านพักของเรา จากที่กินอิ่มๆมาระหว่างทางที่เดินมาย่อยหมดละ ฮ่าๆพอกลับมาถึงก็รีบเปิดไฟทันทีและจัดเตรียมสถานที่สำหรับนั่งดื่มกันในคืนนี้พร้อมกับฟังเสียงคลื่นมันช่างได้อารมณ์สุด เรานั่งดื่มกันไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือทำไมคืนนี้ลมไม่พัดเลยแล้วแบบนี้คืนนี้เราจะนอนกันได้ไหมเนี่ย ความกังวลใจเกิดขึ้นเล็กน้อย ในเมื่อชอบที่จะอยู่ที่นี่ก็ต้องทนให้ได้ นั่งดื่มกันไปคุยกัน นั่งเล่นโทรศัพท์ไป พลางคุยกับเพื่อนที่ทักไลน์มาถามถึงการมาที่นี่บ้าง
“เวลา 22:00 น.” พอนาฬิกาได้เวลา 4 ทุ่มปุ๊บไฟฟ้าก็ดับปั๊บมองไปบริเวณไหนก็มืดมิดชนิดที่ว่ามองอะไรไม่เห็น แต่สำหรับเราแล้วไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเตรียมอุปกรณ์ส่องสว่างกันมาเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ไฟฉาย 3 อัน , ตะเกียง แค่นี่ความสว่างก็เพียงพอสำหรับเราสองคนแล้ว เรายังนั่งดื่มกันต่อจนของที่เราเตรียมมาหมดจากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน
“เวลา 22:34 น.” เราจัดการล้างหน้าแปรงฟันก่อนเข้านอน อ่อๆ ลืมบอกไปคืนนี้เรานอนมุ้งกันนะครับ ส่วนมุ้งเรากางไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปกินข้าวเย็นกันแล้วยุงจะได้ไม่เข้า ได้เวลานอนแล้วครับ เราเปิดหน้าต่างนอนกันนะครับเพื่อรับลมแต่ลมก็มิไหวติง นอนดีกว่าฝันดีครับทุกคน
“เวลา 24:15 น.” ผมตื่นมาพร้อมกับความร้อนที่ร่างกายผมได้สัมผัสและหลังจากที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมานั้นอีกไม่นานสิ่งที่ผมรอคอยมาทั้งคืนก็เกิดขึ้น ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักพร้อมกับลมที่พัดทำให้ความร้อนถูกแทนที่ด้วยความเย็นจากเม็ดฝนทำให้ผมหลับอย่างมีความสุข เจอกันตอนเช้าครับ
“วันที่ 5 เมษายน 2560 เวลา 06:35 น.” ผมตื่นมาพร้อมกับสายฝนที่เย็นฉ่ำทำให้ผมไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอนแต่ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาสูดอากาศอันบริสุทธิ์ยามเช้า
มองผ่านมุ้งออกไปแสงแดดอ่อนๆก็เริ่มส่องแสงออกมา สายฝนเริ่มจางหายทิ้งไว้แต่ความชุ่มชื่น เสียงคลื่นกระทบฝั่งฟังแล้วรื่นหู มันยิ่งทำให้เราไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงเลย แต่วันนี้เราตั้งใจจะไปกินอาหารเช้ากันที่ “เกาะหวายพาราไดซ์ รีสอร์ท” ครับ
“เวลา 08:30 น.” หลังจากตื่นนอนแล้วและจัดการล้างหน้าแปรงฟันจนเสร็จ เราจึงเดินไปกินอาหารเช้ากันที่เกาะหวายพาราไดซ์ รีสอร์ท
ระหว่างที่เราเดินไปยังเกาะหวายพาราไดซ์นั้นเราได้เห็นภาพประทับใจภาพหนึ่ง
เป็นภาพที่พนักงานของรีสอร์ทเก็บขยะตามบริเวณชายหาดครับ อันนี้ถือว่ามีความรับผิดชอบต่อพื้นที่สาธารณะที่ดีมากครับ เราเดินต่ออีกนิดก็ถึงร้านอาหารของรีสอร์ทแล้วครับ
“เวลา 09:03 น.” หลังจากเดินทางร้านอาหารของรีสอร์ทแล้วเราก็ไม่รอช้าที่จะสั่งอาหารกันเลยครับและสำหรับเช้าวันนี้เราสั่งอาหารเช้าแบบธรรมดาๆทั่วไปครับ
และนี่อาหารเช้าของเราในวันนี้ครับ ดูซิครับว่าน่ากินมั้ยครับ อิอิ อาหารมาแล้วขออนุญาตเติมพลังให้กับร่างกายอันเหนื่อยล้าของเราก่อนนะครับ เราใช้เวลาในการจัดการอาหารของเราอยู่สักพักหนึ่ง เราก็ทำการจ่ายเงินและเดินไปยังบ้านพักเพื่อไปเล่นน้ำทะเลหน้าบ้านพักเราก่อนเช็คเอ้าท์และกลับไปยังเกาะช้าง
“เวลา 10:00 น.” เราเดินกลับมาถึงที่พักและจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเล่นน้ำครับ ผมเล่นคนเดียวนะครับส่วนมาดามผมไม่เล่นแต่ขอถ่ายรูปอย่างเดียวครับ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จนางก็เดินขึ้นบ้านพักไปปล่อยให้ผมเล่นน้ำคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลยครับ ตามไปเล่นน้ำด้วยกันครับ
ลองดูสีของน้ำทะเลซิครับว่ามันใสและน่าเล่นแค่ไหนครับ อีกทั้งเราไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงภาคใต้ด้วยครับ ที่บอกไม่ได้หมายถึงภาคใต้ไม่สวยนะครับ ภาคใต้บ้านเรานั้นไม่ต้องพูดถึงครับมันงามมากอยู่แล้วแต่ที่นี่มันเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยครับเพราะขับรถเพียงแค่ 3-4 ชั่วโมงก็ถึงละครับ
“เวลา 11:00 น.” ผมใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มกับการเล่นน้ำทะเลครับ พอเล่นเสร็จเราก็อาบน้ำรวมถึงช่วยกันเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวกลับ
“เวลา 12:00 น.” เราเดินออกจากบ้านพักเพื่อทำการเช็คเอ้าท์ครับและเดินไปรอเรือมารับที่บริเวณร้านอาหารของรีสอร์ทครับ
ตอนเดินตัวเปล่ามันก็เดินสบายอยู่หรอกครับ แต่นี่มันมีกระเป๋าติดตัวมาอีก 3 ใบเส้นทางก็ไม่ได้ราบเรียบเลย เอาน่าๆรักจะเที่ยวห้ามกลัวลำบาก
“เวลา 12:30 น.” และเมื่อเราเดินมาถึงจุดที่จะขึ้นเรือยังเหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมงเต็มๆ เราสองคนก็นั่งเล่น พลางหาที่พักบนเกาะช้างด้วย ขากลับวันนี้เรานัดกับทางเรือไว้ตอนบ่ายโมงครึ่ง นั่งไปเรื่อยๆก็เบื่อเหมือนกัน เล่นโทรศัพท์แบตเตอรี่ก็จะหมดละ ถ่ายรูปก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้วแต่เราก็อดใจไม่ไหวที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันอีกครั้ง
เราอยากถ่ายภาพทุกๆบรรยากาศของความสุขนี้ไว้และการถ่ายภาพเป็นการเก็บความทรงจำและบรรยากาศที่มีความสุขได้ดีที่สุดครับ
“เวลา 13:32 น.” และแล้วสิ่งที่เรารอมา 1 ชั่วโมงเต็มก็มาถึงแล้ว ใจหนึ่งเราก็ดีใจ แต่อีกใจหนึ่งก็เสียใจไม่อยากกลับ
เรากล่าวคำร่ำลากับป้าเจ้าของรีสอร์ทก่อนเดินออกมาขึ้นเรือ และที่เห็นไกลๆนั่นก็คือเรือที่จะมารับเราครับส่วนแพที่เห็นใกล้ๆตรงนี้คือแพที่เป็นพาหนะจะออกไปส่งเราขึ้นเรือโดยมีพี่ที่รีสอร์ทเป็นคนออกไปส่งเราเนื่องจากเรือไม่สามารถเข้ามาใกล้ๆฝั่งได้อาจจะเป็นเพราะน้ำตื้นรวมถึงแนวปะการังที่อยู่ด้านล่างด้วยก็เป็นไปได้ครับ เมื่อก่อนไม่ต้องใช้แพนะครับแต่จะมีสะพานไม้จากฝั่งยาวไปถึงไม้ที่ปักอยู่ด้านหน้าเรานี่แหละครับแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วเกิดพายุลมรุนแรงทำให้สะพานไม้พัง
พี่ที่ Good Feeling สาวเชือกนำแพออกไปส่งเราขึ้นเรือครับ
อีกนิดเดียวจะถึงละ ส่วนถึงสีส้มที่เห็นอยู่ด้านหลังไม่ได้เตรียมเอาไว้ใส่น้ำแข็งนะครับแต่ตั้งไว้สำหรับให้เราปีนขึ้นบนเรือครับ คนบนเรือออกมารับเราขึ้นเรือ เราขึ้นเรือเป็นที่เรียบร้อยเดินทางกันต่อเลยครับ
เรือแล่นด้วยความเร็ว สั่นก็สั่น ก็ยังไม่วายที่จะถ่ายรูปเล่นกัน ฮ่าๆ
“เวลา 14:03 น.” และแล้วเราก็เดินทางมาถึงเกาะช้างที่ท่าเรือบ้านบางเบ้า เราขึ้นจากเรือช่วยลูกเรือขนสัมภาระขึ้นฝั่งและนั่งรอกันที่ศาลาตรงท่าเรือครับ
ช่วงระหว่างรอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆขึ้นจากเรือเราก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันอีกครั้งเพื่อเป็นการฆ่าเวลา และเมื่อทุกคนขึ้นจากเรือเรียบร้อยแล้วลูกเรือที่นั่งมากับเราก็เดินนำเราเพื่อไปขึ้นรถสองแถว
รถสองแถวจะไปส่งเราถึงที่พักตามบริเวณหาดต่างๆของเกาะช้าง โดยครั้งแรกเราคิดว่าต้องเสียค่ารถเพิ่มแต่คนขับรถบอกเราว่า ค่ารถฟรีครับเนื่องจากรวมกับค่าเรือมาแล้ว เราแอบอมยิ้มเพราะมันช่วยประหยัดเราได้นิดหน่อย เราบอกคนขับรถว่าเรายังไม่ได้จองที่พักแต่ให้ไปส่งเราที่ “หาดทรายขาว” ก็แล้วกัน จากนั้นเราค่อยเดินหาห้องพักกันเอง
“เวลา 14:15 น.” รถสองแถวออกจากท่าเรือบ้านบางเบ้าเพื่อไปส่งเราและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ หลังจากรถสองแถวออกไปไม่นานฝนก็ได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก คนขับรถลงมาย้ายกระเป๋านักท่องเที่ยวที่อยู่บนหลังคาลงมาไว้ด้านในของรถ แต่ที่ซวยไปกว่านั้นคือรถสองแถวที่เรานั่งมานั้นดันมีแต่หลังคาแต่ไม่มีที่กันฝนด้านข้างจึงทำให้ผมและนั่งท่องเที่ยวที่นั่งอยู่ด้านหลังเปียกปอนกันไปทั้งตัว
“เวลา 15:00 น.” คนขับรถมาส่งเรายังบริเวณหาดทรายขาว แต่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุด เราจึงเดินลุยฝนหาที่พักอยู่ประมาณ 2-3 ที่เราก็ยังไม่ได้ราคาที่โดนใจแต่แล้วเราก็มาเจอที่พักที่ราคาโดนใจสำหรับเราเข้าจนได้
เราพักกันที่นี่เลยครับ “สบายบีช เกสเฮ้าส์” เป็นที่พักเล็กๆราคาก็ไม่แพงมากครับ
ราคาก็ตามนี้เลยครับ อีกทั้งเกสเฮ้าส์ก็ยังติดกับชายหาดสาธารณะด้วยครับเราสามารถเดินลงไปเล่นน้ำทะเลได้เลยครับ
ห้องพักก็เป็นลักษณะเหมือนกับห้องแถวนั่นแหละครับ เราสองคนนอนได้ทุกที่แหละครับไม่ได้ติดหรูอะไรมากมาย คิดเพียงแต่ว่าถ้ารักสบายก็นอนอยู่ห้องเหอะ พอได้ห้องแล้วก็เดินเล่นบริเวณรอบๆที่พักครับ
หาดสาธารณะที่อยู่ด้านหลังเกสเฮ้าส์ที่เราพักกันครับ
เก้าอี้ของทางเกสเฮ้าส์ครับ ลูกค้าสามารถนำไปนั่งริมชายหาดได้แต่เมื่อนั่งเสร็จแล้วก็นำกลับมาไว้ที่เดิมด้วยนะครับ ในเมื่อมีเก้าอี้แล้ว บรรยากาศได้ รอช้าทำไมละครับไปนั่งเล่นริมชายหาดกันดีกว่า
ลมพัดเย็นชื่นใจ เรานั่งดูนั่งเที่ยวลงมาเล่นน้ำกันดูแล้วสนุกดี มีทั้งคนไทย ชาวต่างชาติ พอเรานั่งเล่นไปสักพักเราก็เริ่มหิวแล้ว เราจึงเก็บเก้าอี้และเดินไปหาของกินกัน
“เวลา 15:30 น.” เราออกมาจากเกสเฮ้าส์เราก็เจอร้านไก่หมุนหาดทรายขาวซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเกสเฮ้าส์ที่เราพักนี่เองครับ มีอาหารหลายอย่างครับ เราจึงสั่งอาหารที่เราอยากกินกันอย่างเต็มที่ครับ
มาแล้วครับรายการอาหารของเรามื้อนี้ ที่สั่งเนี่ยเพราะความอยากทั้งนั้นครับ สำหรับรสชาติอาหารก็ถือว่าใช้ได้ครับเราสองคนจัดการไม่เหลือ
“เวลา 16:00 น.” พอเรากินข้าวกันเสร็จเราก็เดินกลับไปยังที่พักเพื่ออาบน้ำและนอนพักผ่อนเนื่องจากร่างกายเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวันละ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยออกสำรวจกันต่อ
“เวลา 20:00 น.” ตื่นแล้วหลังจากหลับไป 4 ชั่วโมงเต็มๆ เราลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นให้กับร่างกายเรา และเดินออกไปเดินเล่นบริเวณ Walking Street ของหาดทรายขาว
ช่วงที่เราไปค่อนข้างเงียบมากอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ตรงกับวันหยุดด้วยมั้ง เราเดินไปเรื่อยๆครับ กะว่าคืนนี้จะหาของถูกๆกินแนว Street Food
และแล้วเราก็มาเจอ Street Food เข้าจนได้ที่นี่จะเปิดตั้งแต่เวลาประมาณ 17:30 – 22:00 น.ครับมีของกินหลากหลายครับเลือกเอาตามใจชอบเลยครับ อาหารของเรามื้อค่ำนี้ก็คือ ผัดไทกับโรตี
หมดไปอีกร้อยกว่าบาทครับ เราซื้อกับมานั่งกินกันที่เกสเฮ้าส์ครับ นั่งกินกันไปสักพักก็เริ่มเกิดอาการง่วงขึ้นมาอีกครั้ง เราจึงจัดการของกินที่วางอยู่ตรงหน้าเราให้หมดแล้วก็เตรียมตัวเข้านอนครับ
“เวลา 22:30 น.” ได้เวลาเข้านอนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางกลับกันแล้ว (คืนสุดท้ายก่อนกลับไปผจญความวุ่นวายในเมืองใหญ่)
ก่อนเข้านอนคืนสุดท้ายที่เกาะช้าง ขอส่งทุกคนเข้านอนไปพร้อมกันกับภาพชายหาดในยามค่ำคืน…..ฝันดีครับทุกคน แล้วพบกันตอนเช้าครับ
“วันที่ 6 เมษายน 2560 เวลา 07:00 น.” เสียงนาฬิกาปลุกสั่นไหวเป็นเสียงเตือนให้เราตื่นมาเจอกับวันใหม่ เราจึงลุกล้างหน้าแปรงฟันและเตรียมตัวออกไปหาอาหารเช้ากินกันก่อนเดินทางกลับ กทม. กันครับ ครั้งแรกก็ว่าจะไปหาซื้อจากข้างนอกเข้ามากินที่เกสเฮ้าส์แต่ระหว่างนั้นดันไปเห็นมาม่าที่ซื้อมาตั้งแต่วันแรกเหลือเราจึงไม่ออกไปซื้อของกินแต่กินมาม่าที่เหลือแทน เราจัดการต้มมาม่า ชงโอวัลติน กาแฟ และจัดการนำเก้าไปตั้งริมชายหาด
เป็นยังไงบ้างครับสำหรับอาหารเช้าและบรรยากาศของเราสองคน นั่งรับลม รับไอทะเล ในยามเช้ามันช่างมีความสุขมากครับ เรานั่งกินอาหารเช้าไปเรื่อยๆ
พลางนั่งดูนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ เราสองคนก็อดใจไม่ไหวที่จะเดินไปสัมผัสน้ำทะเลบ้าง มันทำให้เราคิดหนักว่าจะเล่นน้ำทะเลก่อนกลับดีไหม แต่เนื่องจากเราสองคนอาบน้ำแล้วเลยตัดสินใจที่จะไม่เล่นครับ
“เวลา 10:00 น.” หลังจากกินอาหารเช้าพร้อมกับนั่งสัมผัสบรรยากาศริมชายหาดกันจนเสร็จ เราเตรียมจัดการเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ กทม.
เตรียมตัวพร้อมเดินทางกลับเรียบร้อยแล้ว เราทำการเช็คเอ้าท์ รับเงินมัดจำคืน และนั่งรอรถสองแถวที่จะไปท่าเรือด้วยครับ ขณะที่เราไปยืนรอรถ พนักงานที่เกสเฮ้าส์บอกเราว่าไม่ต้องไปยืนรอครับ เดี๋ยวเขาจะจัดการเรียกรถให้
พนักงานเดินเอาป้ายนี้มาตั้งไว้หน้าเกสเฮ้าส์และถ้ารถสองแถวคันไหนที่จะไปท่าเรือเห็นเขาก็จะจอดรับเราไปส่งที่ท่าเรือ ระหว่างนั่งรอรถอยู่นั้นผมเดินไปหาตู้ไปรษณีย์เพื่อทำการส่งโปสการ์ดให้กับบุคคลที่ผมส่งให้เป็นประจำครับ
รอรับกันด้วยนะครับ ผมตั้งใจเขียนให้เลยนะครับเนี่ย
“เวลา 11:15 น.” หลังจากรอรถสองแถวเกือบ 1 ชั่วโมงเราก็ได้ขึ้นรถแล้ว จากหาดทรายขาวไปท่าเรือใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีครับ(ค่ารถจากหาดทรายขาวไปท่าเรือข้ามไปอ่าวธรรมชาติคนละ 50 บาทครับ)
“เวลา 11:35 น.” เราเดินทางมาถึงท่าเรือที่จะข้ามไปยังท่าเรืออ่าวธรรมชาติ เราลงจากรถมุ่งหน้าไปซื้อตั๋วโดยทันทีครับ
อัตราค่าโดยสารราคาตามป้ายนี้เลยครับ เรามาทันเรือรอบเที่ยงวันพอดีครับ
“เวลา 12:00 น.” ผู้โดยสารทยอยเดินขึ้นเรือรวมถึงเราด้วยครับ เราได้ขึ้นก่อนใครๆจึงได้เลือกที่นั่งก่อน
เรือออกแล้วครับถึงเวลาต้องบอกลาเกาะหวายกับเกาะช้างกันแล้วครับ เจอกันอีกครั้งที่ฝั่งครับ ขอพักผ่อนก่อนนะครับ
“เวลา 12:34 น.” เรือจากเกาะช้างเข้าเทียบที่ท่าเรืออ่าวธรรมชาติแล้วครับ เราเดินไปยังด้านล่างของเรือเพื่อเตรียมตัวขึ้นฝั่ง เมื่อเรือเทียบท่าเรียบร้อยแล้วเราสองคนจึงเดินออกจากเรือเพื่อขึ้นฝั่งและนำสัมภาระไปเก็บไว้ที่รถ แต่ก่อนเดินทางกลับเราไปจัดการเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย พอออกมาจากห้องน้ำก็แวะซื้อผลไม้ไปไว้กินระหว่างทางด้วยครับ
“เวลา 13:03 น.” เราขับรถออกจากท่าเรืออ่าวธรรมชาติเดินทางกลับ กทม.
ระหว่างทางช่วงที่เราขับรถกลับนั้นเราเจอฝนตั้งแต่เข้าเขตจังหวัดจันทรบุรีมาจนถึงจังหวัดชลบุรีเลยครับ เม็ดฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ยั้งชนิดที่ว่ารัศมีการมองเห็นไม่น่าจะเกิน 10 เมตร ทำให้การเดินทางกลับ กทม. ของเราใช้เวลานานกว่าที่เราคาดการไว้ เราขับไปเรื่อยๆ เราก็จอดรถพักที่จุดซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปกินเองบ้าง ฝากเพื่อนร่วมงานบ้าง
“เวลา 18:30 น.” เราเดินกลับมาถึงคอนโด โดยสวัสดิภาพ ถือว่าการเดินทางทริปนี้ได้จบลงแล้ว แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าครับ
-สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไปในทริปนี้(เกาะหวาย)
รูปภาพส่งท้ายสำหรับทริปนี้
“ทุกครั้งที่เราได้เที่ยว ได้ออกเดินทางเรามักจะเจอสิ่งๆใหม่เสมอ เช่นเดียวกับทุกๆวินาทีที่เกิดสำหรับเรามันย่อมใหม่เสมอ เราสองคนรักเดินทางรักการท่องเที่ยว จึงมุ่งว่าการเขียนบันทึกการเดินทางครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่รักการเดินเหมือนดังเช่นกับเรา อีกทั้งยังทำให้นักเดินทางทั้งหลายไดรู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเมืองเรายังมีอีกมากมายที่รอให้เราไปสัมผัส”
**___****___***สวัสดีครับ***___***___**