เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวก็ถึงเวลาออกเดินทางไปหาสถานที่รับลมหนาว เพราะอยู่ในเมืองใหญ่แบบนี้คงมีแต่ความวุ่นวายให้สัมผัส หลายคนเลือกเดินทางขึ้นเหนือแต่ตัวผมเองเลือกที่จะเดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งความฝันในวัยเด็กของผมเพื่อไปสัมผัสแสงแรกของวันก่อนใครในประเทศนั่นก็คือ “ผาชะนะได” อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งถ้าใครเคยได้ยินประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาก็จะคุ้นกับชื่อสถานที่พวกนี้อยู่พอสมควร ถามว่าทำไมผมถึงฝันว่าอยากจะไปที่นี่นะเหรอ คำตอบคือ ผมตื่นเช้าไปจ่ายตลาดกับแม่ทุกเช้าและผมเองก็ได้ฟังเสียงตามสายที่กำนันประจำตำบลขของผมเปิดอยู่เป็นประจำและมันทำให้ผมสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาว่าพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกที่ “ผาชะนะได” และผมก็พร่ำบอกกลับตัวเองมาตลอดว่าผมต้องไปที่นั่นให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเริ่มหาข้อมูลการเดินทางเหมือนทุกๆทริปที่ผมได้ออกเดินทาง
และเมื่อทุกอย่างพร้อมก็ลางาน จองตั๋ว ให้เรียบร้อย ส่วนข้อมูลอื่นๆก็หาเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง เช่ารถ จากนั้นก็เฝ้ารอให้ถึงวันเดินทาง
“วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560” ถึงจะเป็นวันที่ผมจะต้องออกเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว ผมก็ยังคงต้องเดินทางไปทำงานก่อนเพราะว่ารถที่ผมจองตั๋วไว้ออกเวลา 22:05 น. ผมเลยไม่อยากเสียวันหยุด ปกติแล้วผมขึ้นรถที่หมอชิตแต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะมาขึ้นรถที่รังสิตเนื่องจากเดินทางสะดวกและใกล้บ้านผมมากๆ
“เวลา 17:15 น.” หลังจากที่เลิกงานและเดินทางกลับถึงบ้าน ผมก็ทำการนำสัมภาระทั้งหมดที่จัดเตรียมไว้ใส่กระเป๋าเดินทาง
เมื่อเสร็จก็ตรวจดูความเรียบร้อยให้แน่ใจอีกครั้ง จากนั้นก็นั่งรอเวลาแล้วค่อยออกไปที่สถานีขนส่งนครชัยแอร์รังสิต
“เวลา 21:00 น.” เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งนครชัยแอร์รังสิตเพื่อไปรอขึ้นรถทัวร์ไปจังหวัดอุบลราชธานี
โดยมีพี่สาวผมขับรถไปส่งช่วยให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางออกจากบ้านได้หลายบาทเลยทีเดียว จากบ้านผมมาถึงสถานีขนส่งนครชัยองแอร์รังสิตใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาทีแต่ก็ขึ้นอยู่กับการจราจรด้วย และในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงสถานีขนส่งนครชัยแอร์รังสิต สิ่งที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้านั้นก็คือเต็มไปด้วยจำนวนผู้โดยสารที่นั่งรอรถทัวร์ออกเดินทางไปตามจังหวัดต่างๆอย่างคับคั่ง
ผมนั่งรอรถทัวร์อยู่ประมาณ 45 นาที รถทัวร์ที่ผมจองตั๋วไว้ก็เดินทางมาถึงสถานีขนส่งนครชัยแอร์รังสิต
“เวลา 22.17 น.” รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีส่งนครชัยแอร์รังสิตมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้ ผมขอตัวนอนเอาแรงไว้ลุยพรุ่งนี้ก่อนครับ เจอกันที่จังหวัดอุบลราชธานีนะครับ ฝันดีครับ
“วันที่ 25 พฤศจิกายน 2560 เวลา 07:32 น.” ผมเดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งช้ากว่าที่ผมคาดการณ์ไว้พอสมควร เมื่อมาถึงแล้วผมจึงรีบนั่งรถแท็กซี่ไปยังร้านที่ผมจะเช่ามอเตอร์ไซค์โดยทันทีแต่ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้าเนื่องจากลุงคนขับแท็กซี่เพิ่งมาขับเป็นวันแรกและยังไม่รู้เส้นทางแต่ในที่สุดลุงแกก็มาส่งผมถึงจุดหมายจนได้ เมื่อถึงแล้วผมก็รีบโทรไปหาที่ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ไม่รู้มันเป็นวันอะไรของผมเพราะโทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด ร้านอยู่ตรงไหนผมก็ไม่รู้ ผมจึงถามชาวบ้านแถวนั้นดู และในที่สุดผมก็ได้เจอกับเจ้าของร้านเช่ามอเตอร์ไซค์จนได้ โล่งอกมากครับ
ร้านป้าแกเป็นร้านบริการให้เช่าชุดด้วย ถ้าไม่รู้มาก่อนรับรองเดินผ่านแน่ๆ ผมเหลือบไปมองดูเวลาก็ปาเข้าไป 8 โมงกว่าแล้ว ผมทำสัญญาเช่าทั้งหมด 2 วัน วันละ 250 บาทบวกกับค่ามัดจำอีก 1,000 บาท และรถที่ผมได้ออกทริปก็คือ YAMAHA SPARK 115i
เมื่อจัดการเรื่องรถมอเตอร์ไซค์เสร็จแล้วผมก็ออกไปหาข้าวกินเพื่อเติมพลังก่อนออกเดินทางกันยาวๆ
ร้านดังย่านนั้นมั้งครับ ผมเห็นลูกค้าแน่นร้านเลย อากาศหนาวก็ต้องสั่งของร้อนๆมาซดสักหน่อย รสชาติใช้ได้เลยครับ
“เวลา 09:04 น.” หลังจากเติมพลังด้วยอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็คว้ารถประจำตำแหน่งในทริปนี้ออกไปล่าฝันของผม
สอบถามเส้นทางเอาที่ผมพอจะเข้าใจ จากนั้นอ่านป้ายอย่างเดียวครับ ผมออกเดินทางจากตัวเมืองอุบลราชธานีโดยใช้เส้นทางผ่านอำเภอตาลสุม อำเภอพิบูลมังสาหาร จนถึงอำเภอโขงเจียมอันเป็นจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้
แค่เห็นป้ายแค่นี้ผมก็อมยิ้มแล้วครับ แต่หนทางยังอีกยาวไกล ระหว่างทางที่ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปนั่นผมรู้สึกว่าร่างกายได้สัมผัสอากาศที่หนาวเย็นจริงๆ ไม่ใช่ความหนาวที่เกิดจากฝนแต่เป็นลมหนาวที่เป็นไปตามฤดูกาลของมัน แดดร้อนแต่มีลมหนาวพัด
ขี่มาสักพักผมก็เข้าเขตอำเภอวิบูลมังสาหารและตอนนี้ก็กำลังจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ข้ามแม่น้ำมูล จากความล่าช้าและคาดเคลื่อนในการเดินทางทำให้ผมต้องขี่รถแข่งกับเวลา จนในที่สุดผมก็ใกล้เข้าไปทุกที
ดูจากป้ายบอกทางแล้วอีกแค่ 20 กิโลเมตรเอง สำหรับผมนี่นะสบายมากเลยขอบอก ผมใช้เวลาซักประมาณ 10-15 นาทีเห็นจะได้
“เวลา 10:15 น.” ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าเขตอำเภอโขงเจียมแล้ว และผมก็เห็นป้ายบอกทางเขียนว่า “จุดชมวิวแม่น้ำสองสี” หัวใจเต้นรัวๆเลยครับ ผมจึงแวะที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์
เพื่อไปหาจุดชมวิวแม่น้ำสองสีแต่บรรดาพวกพ่อค้า แม่ค้า แนะนำให้ผมขี่รถไปยังที่วัดโขงเจียมที่อยู่ด้านล่างและผมก็ทำตามความแนะนำนั้น
ตรงจุดนี้เป็นจุดชมวิวแม่น้ำสองสีครับ เป็นจุดที่แม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง
ซึ่งถ้าดูตามภาพนี้จะเห็นไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่ก็จะเห็นความต่างนิดๆ “โขงสีปูน มูลสีคราม”
“เวลา 10:45 น.” หลังจากแวะเที่ยวชมดูแม่น้ำสองสีแล้วผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากตัวอำเภอโขงเจียมแวะเติมน้ำมันให้เต็มถังและมุ่งหน้าสู่ “อุทยานแห่งชาติผาแต้ม”
จากตัวอำเภอโขงเจียมไปยังผาแต้มระยะทางประมาณ 15-20 กิโลเมตร
“เวลา 11:10 น.” ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์มาถึงด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ถึงแล้วก็ลงไปชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานฯ
ก็มีค่ายานพาหนะ 20 บาทและสำหรับนักท่องเที่ยว(ผู้ใหญ่) 40 บาท พอเข้าเขตอุทยานแห่งชาติสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรระลึกถึงเสมอคือ อย่าทิ้งขยะ อย่าฝ่าฝืนคำสั่งของอุทยานฯ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ธรรมชาติก็จะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนานแล้วครับ ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์จากด่านจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 700 เมตร ผมก็มาถึง “เสาเฉลียง”
“เสาเฉลียง” เป็นประติมากรรมที่ธรรมชาติใช้เวลาหลายร้อยล้านปี ผ่านการกัดเซาะของน้ำ ลม จนแปลสภาพเป็นลักษณะแปลกตาให้เราได้เห็นกัน ถัดจากเสาเฉลียงที่อยู่ด้านล่าง ผมเดินขึ้นมาอีกนิดก็จะพบกับ “ลานหินแตก”
ซึ่งด้านบนยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นแม่น้ำโขงและฝั่งประเทศลาวได้อีกด้วย
ลานหินแตกเกิดจากการขยับตัวของเปลือกโลก ทำให้ลานหินเกิดลอยแยกอย่างที่เห็นในภาพนี่แหละครับ ตอนอยู่ที่ลานหินแตกผมลองคิดว่าเหมือนเรากำลังอยู่ในหนังที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติสักเรื่อง (เป็นพระเอกกำลังเราชีวิตรอด ฮ่าๆ) ผมใช้เวลาเที่ยวชมบริเวณลานหินแตกอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ออกเดินทางต่อไปยัง “ผาแต้ม”
“เวลา 12:00 น.” เที่ยงวันตะวันตรงหัวบอกได้คำเดียวว่าร้อนมากถึงแม้จะมีลมหนาวพัดกระทบกายก็ตาม เมื่อมาถึงแล้วสิ่งแรกที่ผมต้องทำทุกครั้งในการมาเที่ยวอุทยานแห่งชาตินั่นก็คือ คือ คือ
ประทับตราอุทยานแห่งชาติไงละครับ จากนั้นผมก็สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ถึงการเดินทางไปผาชะนะได และเจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลกับผมว่าควรไปให้ถึงที่นั่นไม่เกิน 4 โมงเย็น เพราะถ้าไม่คุ้นชินทางจะทำให้หลงได้ เมื่อรู้อย่างนั้นผมจึงรีบเดินไปเที่ยวชมภาพเขียนสีที่อยู่ที่ผาแต้ม
เรามาทำความรู้จักกับผาแต้มกันสักหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าพามาเที่ยวแล้วไม่รู้ประวัติความเป็นมา อิอิ “ผาแต้ม คำว่า “แต้ม” เป็นคำในภาษาถิ่นดั่งเดิม หมายถึง รอยวาด , ระบาย , ประทับ โดยการใช้สีให้ปรากฏขึ้นเป็นรูปภาพ , เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ต่างๆ……ผาแต้ม เป็นแหล่งที่พบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์อายุราว 3,000-4,000 ปี ซึ่งมีกลุ่มภาพเขียนกระจายอยู่ตามหินผา ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม มีไม่น้อยไปกว่า 300 ภาพขึ้นไป
ภาพที่เด่นๆ ก็มีภาพช้าง , ภาพปลาบึก , ภาพตุ้ม(เครื่องมือดักปลาทำมาจากไม้ไผ่สาน) , ภาพสัตว์ป่า , ภาพภาชนะ , ภาพฝ่ามือ , ภาพคน และสัญลักษณ์ต่างๆ
ภาพเขียนสีกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่มีความยาวที่สุด ยาวประมาณ 180 เมตร
ซึ่งภาพเขียนเหล่านี้บอกเล่าถึงสิ่งที่เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตและอารยธรรมของชุมชนลุ่มน้ำโขงในยุคนั้นโดยได้จารึกไว้ที่หินผาแห่งนี้
เพื่อให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ชมและศึกษาหาความหมายที่น่าอัศจรรย์ของภาพเขียนแผ่นหินผาเหล่านี้ที่ชื่อว่า “ผาแต้ม” เป็นยังไงบ้างละครับภาพเขียนสีผาแต้มที่ผมพาเที่ยวชม แต่เดิมทีตัวผมเองคิดว่าภาพเขียนสีเหล่านี้จะอยู่ใกล้ๆและเรียงรายกันไป แต่ที่ไหนได้ระยะทางที่ผมเดินดูภาพเขียนสีเหล่านี้ยาวถึง 4.5 กิโลเมตร อยู่เรียบขนาบริมแม่น้ำโขง แต่ในส่วนของภาพเขียนกลุ่มที่ 4 จะอยู่ด้านบนอยู่เหนือขึ้นไปอีกหนึ่งระดับชั้นกว่าภาพเขียนกลุ่มที่ 1-3 ครับ
ต้องลอดช่องทางเดินนี้ขึ้นไป เป็นทางเดียวกับทางที่ผมใช้เดินกลับไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สรุปคือเดินเป็นวงกลมครับ พอพ้นช่องทางนี้ไปก็ต้องเดินลงด้านล่างอีกนิดหน่อยและลัดเลาะหน้าผาเพื่อไปชมภาพเขียนสีกลุ่มที่ 4
หลังจากดูจนครบแล้วเล่นทำเอาผมหมดเรี่ยวแรงไปพอสมควร พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้วผมจึงเร่งฝีเท้าในการเดินให้เร็วยิ่งขึ้นสลับวิ่งเบาๆ เพราะเกรงว่าจะถึงที่ผาชะนะไดมืด ระหว่างทางที่ผมเดินกลับนั้นผมก็ได้เห็นจุดที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “อเล็กซานเดอร์มหาราช”
เป็นฉากที่ยืนรวมพลกันอยู่บนหน้าผาแห่งนี้แหละครับ กลับไปที่รถกันดีกว่าครับแล้วจะได้เดินทางไปกันที่ผาชะนะไดกันต่อ
“เวลา 13:34 น.” ผมคว้ามอเตอร์ไซค์คันเก่งออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเราในทริปนี้กันแล้ว จากข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่นั้นผาชะนะไดอยู่ห่างจากผาแต้มประมาณ 55 กิโลเมตร เอ้า…..ลุยกันต่อ
ไปกันยาวๆเลยครับ ผาชะนะได นั้นก็ในอยู่ในส่วนของเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้มเหมือนกัน แต่อยู่ในเขต “ป่าดงนาทาม” ผมใช้เวลา 1 ชั่วเศษก็มาถึงทางเข้าผาชะนะไดกันแล้ว ซึ่งตรงทางเข้าจะมีชาวบ้านมาตั้งร้านขายของกันอยู่เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว
หากใครจะซื้อของกินติดไม้ติดมือเข้าไปก็ให้ซื้อตั้งแต่ตรงนี้ไปเลยนะครับ เพราะด้านในผาชะนะไดไม่มีอะไรขายนะครับ ผมตัดสินใจที่จะไม่ซื้ออะไรเพิ่มเติม คิดดูแล้วของที่เตรียมมาน่าเพียงพอสำหรับคนเดียว ไปกันต่อดีกว่าครับ
หนทางส่วนใหญ่ในเขตป่าดงนาทามเป็นลานหินบวกกับทรายทำให้การขับขี่ไปด้วยความยากลำบาก ทั้งการทรงตัวและระยะทางที่ไกล เนื่องจากตั้งแต่ปากทางเข้าตรงร้านขายของจนถึงศูนย์อำนวยการนักท่องเที่ยวเป็นระยะทางทั้งสิ้น 15 กิโลเมตร
ช่วงระยะแรกที่ผมเดินทางนั้น ผมไม่เจอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเลย กลางป่ามีผมอยู่คนเดียวสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ถ้าเกิดอะไรขึ้นแย่แน่ๆเลยผม
ระหว่างทางเราก็จะพบหินรูปร่างแปลกตามากมายเรียงรายอยู่ตามทาง ผมไม่มีเวลาจอดดูแล้วต้องรีบไปให้ถึงก่อนที่จะเย็นไปกว่านี้
ขับมาได้สักระยะหนึ่ง ผมก็ได้เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มปั่นจักรยานมากันหลายคันพอสมควรครับ
ถึงตอนนี้ผมเดินทางมาได้เกินครึ่งของระยะทางทั้งหมด 15 กิโลเมตรแล้ว ยิ่งใกล้ถึงมากเท่าไหร่ผมก็เจอนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีนักท่องเที่ยวขี่มอเตอร์ไซค์มาเที่ยวเหมือนผมด้วยนะครับ เลยจุดนี้ไปอีกไม่ไกลก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวผาชะนะไดแล้ว
“เวลา 16:10 น.” ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงลานกางเต็นท์ผาชะนะไดด้วยความยากลำบากจนได้ เมื่อมาถึงแล้ว ผมก็จัดการหาสถานที่กางเต็นท์สำหรับพักค้างแรมในคืนนี้
การกางเต็นท์ที่ผาชะนะไดค่อนข้างลำบากอยู่นิดหน่อยเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นลานหินประกอบกับลมที่พัดแรงอยู่ตลอดทำให้การปักสมอบกนั้นเป็นไปได้ยากต้องเลือกที่ที่เหมะสมที่สุด เมื่อผมกางเต็นท์จนเสร็จ ผมก็สังเกตอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับผมนั่นก็คือพลาสติกตรงที่ปักสมอบกของเต็นท์แตกซึ่งมันจะทำให้เต็นท์ไม่มีอะไรยึดกับพื้นดินได้และถ้าเกิดลมพัดแรงมากกว่านี้อาจจะทำให้เต็นท์ปลิวได้ ผมจึงแก้ปัญหาโดยการใช้หินถ่วงจากด้านในของเต็นท์และเอาเสาเต็นท์เกี่ยวตรงปลายของเต็นท์ที่มีเชือกเล็กแล้วตอกสมอบกย้ำลงไป 2 ตัวเป็นอันเรียบร้อยหวังว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้นะ จากนั้นผมก็จัดการเตรียมตัวอาบน้ำก่อนที่ฟ้าจะมืดลงเสียก่อน
“เวลา 17:00 น.” ผมเดินไปด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อไปอาบน้ำ ที่ผาชะนะไดมีห้องน้ำให้บริการด้วยครับ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ก็ถือว่าสะอาดใช้ได้ในระดับหนึ่งครับ ลมพัดแรง ยิ่งใกล้ค่ำอากาศก็ยิ่งเย็น น้ำขันแรกกระทบกายตัวผมถึงกับสั่นระริกเลย ขนตั้งชัน รับประกันเลยครับว่าน้ำที่นี่เย็นทุกขัน ซู่ ซู่ ซู่ หนาว……..โว้ย !!!!
“เวลา 17:20 น.” หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยทีเดียว ช่วงที่ผมเดินกลับมาที่เต็นท์ก็เห็นมีนักท่องเที่ยวเข้ามากางเต็นท์กันเพิ่มหลายคนเลยครับ จากนั้นผมก็เตรียมจัดการทำอาหารมื้อเย็นของวันนี้ต่อเลย
อุปกรณ์ทุกอย่างผมเตรียมมาเองทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น เตา , แก็ส , หม้อสนาม , ช้อน รวมถึงมาม่าและไข่ด้วยที่แวะซื้อที่ตัวอำเภอโขงเจียม มาครับมากินมาม่าใส่ไข่กลางป่าด้วยกันครับ สำหรับผมเป็นมาม่ามื้อหนึ่งที่อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้
“เวลา 18:00 น.” ผมกินมาม่ามื้อเย็นเสร็จก็ทำการเก็บข้าวของเข้าที่ตอนเช้าจะได้ไม่วุ่นวาย พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่งต่อหน้าที่ให้พระจันทร์และดวงดาวทำหน้าที่ในการส่องแสงสว่างแทน ผมนั่งเล่นอยู่เต็นท์อยู่สักพักก็ทนความแรงของลมหนาวไม่ไหวเลยหนีเข้าไปในเต็นท์จนเผลอหลับไปชั่วครู่หนึ่ง
“เวลา 20:08 น.” พอตื่นขึ้นมาเปิดเต็นท์เพื่อออกมาด้านนอก สายตาผมมองไปบนท้องฟ้าและสิ่งที่ผมเห็นมันเป็นอะไรที่สวยงามยิ่งนักนั่นก็คือ ดวงดาวน้อยใหญ่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เป็นล้านๆดวง สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในตอนนั้นคือการคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายภาพแต่ด้วยคุณภาพของกล้องมันทำให้ผมไม่สามารถถ่ายภาพดาวบนท้องฟ้าได้ ผมจึงใช้เลนส์ที่ดีที่สุดในโลกนั่นก็คือดวงตาของเรานี่แหละบันทึกใส่ความจำเก็บไว้เป็นความทรงจำแทนภาพถ่าย
“เวลา 21:15 น.” หลังจากนั่งชมความงามของหมู่ดาวจนหนำใจแล้วผมก็เตรียมตัวเข้านอน
เพราะพรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในประเทศไทย ขอตัวไปนอนก่อนนะครับแล้วเจอพรุ่งนี้เช้า Good Night
“วันที่ 26 พฤศจิกายน 2560 เวลา 04:30 น.” เสียงนาฬิกาปลุกดัง ผมลุกขึ้นจากที่นอนโผล่หน้าออกจากเต็นท์สัมผัสกับความหนาวยามเช้า ผมจัดการทำภาระกิจยามเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่แรกของประเทศไทย หลังจากจัดการกับภาระกิจแรกความสดชื่นยามเช้าเสร็จแล้ว ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากเต็นท์ที่พักของผมมุ่งหน้าสู่ “ผาชะนะได” ซึ่งอยู่ห่างจากที่ผมกางเต็นท์ประมาณ 800 เมตร
“เวลา 05:03 น.” ผมมาถึงที่ “ผาชะนะได” เป็นคนแรกซะด้วย ผมเดินสำรวจหาที่เหมาะที่สุดในการชมพระอาทิตย์ขึ้น เราควรระมัดระวังในการเดินบริเวณหน้าผาเป็นอย่างมากเพราะไม่มีอะไรกั้น ถ้าตกลงไปคงได้นอนคุยกับรากต้นไม้แน่ๆ ผมนั่งลงบริเวณหน้าผาและผมก็ได้เห็นแสงแรกก่อนใครจริงๆด้วย
พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมาให้เราได้เห็นแล้ว ผมจัดเตรียมหามุมกล้องเพื่อเตรียม Live Facebook ทุกคนจะได้เห็นแสงแรกของวันไปพร้อมๆกับผม
อุปกรณ์และมุมกล้องพร้อมทุกอย่างที่เหลือก็แค่นั่งรอเวลาให้พระอาทิตย์เผยโฉม สายแสงของมันออกมาให้เราได้ชื่นชมกัน ขณะที่ผมนั่งรออยู่นั้นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยมากันเรื่อยๆแล้วครับ แต่ละคนก็หามุมที่เหมาะสมที่สุดในการชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ดีมากครับเนื่องจากนักท่องเที่ยวจะไม่เยอะมากจนเกินไปแล้วอากาศยังค่อนข้างดีอีกด้วย
เริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆแล้ว ความฝันในวัยเด็กที่ผมสงสัยมานานและวันนี้ผมก็มาถึงจุดที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศพระอาทิตย์ขึ้นที่แรกของประเทศไทยได้สำเร็จ
“เวลา 06:05 น.” ในที่สุดสิ่งที่ผมและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆรอก็มาถึงแล้ว
มันช่างเป็นความสุขที่ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกออกมายังไง ได้แต่นั่งยิ้ม
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็คงมีความสุขเหมือนกับผม ถึงแม้แสงแดดจะเปล่งออกมาแล้วแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลยครับ
เมื่อผมถ่ายภาพและชื่นชมความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าจนเสร็จสิ้นแล้วผมก็เดินทางกลับมายังเต็นท์เพื่อเก็บสัมภาระและเดินทางกันต่อครับ (ทริปนี้ผมต้องทิ้งเต็นท์ที่ผ่านอะไรมามากมายกับผมไปซะแล้ว เพราะมันหักจนเกินที่จะเยียวยาให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้)
“เวลา 07:00 น.” ผมเดินทางออกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวผาชะนะได เพื่อยังสถานที่อื่นที่ผมได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรก
“เวลา 08:34 น.” ผมออกมาถึงปากทางเข้าป่าดงนาทามแล้ว ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมายังปากทางของถนนหลักเพื่อมุ่งหน้าไปยัง “น้ำตกแสงจันทร์ หรือ น้ำตกลงรู” ซึ่งอยู่ห่างจากปากทางเข้าผาชะนะไดประมาณ 12 กิโลเมตร
“เวลา 08:55 น.” ผมเดินทางมาถึง “น้ำตกแสงจันทร์ หรือ น้ำตกลงรู” แล้ว ช่วงที่ผมไปนั้นมันยังเป็นเวลาเช้าเลยไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่นัก
ก่อนที่เราจะเดินลงไปชมความงามของน้ำตกที่ด้านล่างนั้น ผมจะพาทุกๆคนมาดูน้ำที่กำลังไหลลงรูที่อยู่ด้านบนกันก่อนครับ(เบื้องความสวยงาม)
ในช่วงที่น้ำเยอะๆมันก็จะล้นและเลยไปตกตรงด้านหน้าเลยครับ ไปครับๆ ไปดูด้านล่างกันบ้างว่ามันจะงดงามแค่ไหน
ถ้ามาในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม น้ำคงจะเยอะกว่านี้แน่เลยครับ
“เวลา 09:25 น.” ผมเดินทางออกจากน้ำตกแสงจันทร์และขี่รถมอเตอร์ไซค์เลยทางเข้าน้ำตกไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรเพื่อเข้าไปชมเถาวัลย์ยักษ์และน้ำตกอีกหนึ่งที่
จากป้ายนี้ผมต้องเดินเท้าลงไปด้านล่างอีกประมาณ 500 เมตรและสิ่งแรกที่ผมได้เห็นก็คือเถาวัลย์ยักษ์
ใหญ่จริงๆครับ ตั้งแต่เดินทางมาผมก็เพิ่งเคยเห็นเถาวัลย์ที่ใหญ่มากก็วันนี้แหละครับ เดินถัดลงไปอีกนิดหนึ่งก็จะเห็นน้ำตกทุ่งนาเมืองครับ
อย่างที่บอกแหละครับช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วทำให้น้ำที่น้ำตกมีปริมาณที่น้อยไปหน่อย
“เวลา 09:45 น.” ผมเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้ครับนั่นก็คือ “น้ำตกสร้อยสวรรค์” ซึ่งจากถนนหลักเลี้ยวเข้าไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตรก็จะถึงที่ลานจอดรถและต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร
“เวลา 10:15 น.” ผมเดินทางมาถึงลานจอดรถที่อยู่หน้าตัวน้ำตก ผมจอดรถไว้แล้วก็เดินไปซื้อตั๋ว แต่ก่อเข้าไปผมได้สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับ “ผาเจ๊ก และ ผาเมย” ซึ่งผมรู้มาว่าที่สองผานี้ก็มีภาพเขียนสีเหมือนกันกับผาแต้ม แต่ภาพเขียนส่วนใหญ่จะเป็นภาพคนในอริยาบทต่างๆ ซึ่งมันทำให้ผมอยากเข้าไปดูมาก แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นคนนำทางเข้าไปเพราะหนทางค่อนข้างไกล 4-5 กิโลเมตร อีกอย่างทางเดินเข้าไปไม่ชัดเจนอาจจะทำให้หลงป่าได้ ผมนี่แอบเสียดายมากไว้มีโอกาสผมจะต้องไปดูให้ได้ เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้ผมไปเที่ยวชมน้ำตกสร้อยสวรรค์และทุ่งดอกไม้ป่าเท่านั้น
สวยใช้ได้เลยครับ จากน้ำตกสร้อยสวรรค์ผมเดินเท้าต่อไปยังทุ่งดอกไม้ป่า เมื่อถึงทุ่งดอกไม้ป่าตอนแรกมองไปก็ไม่เห็นมีอะไรเลยแดดก็ร้อน แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมก็ได้เห็นความงดงามของทุ่งดอกไม้ป่า
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้ป่ากำลังผลิบานให้นักท่องเที่ยวได้เห็น
“เวลา 10:45 น.” ผมเดินทางออกจากน้ำตกสร้อยสวรรค์เพื่อเดินทางกลับเข้าไปยังตัวเมืองอุบลราชธานี ก่อนกลับออกมาผมแวะซื้อเม็ดอัลม่อนไปเป็นของฝากด้วยครับ
อ้าวๆ…..นี่มันอุทยานแห่งชาตินี่หน่า ไหนๆก็ผ่านมาแล้วก็แวะสักหน่อยก็แล้วกัน จากตรงนี้ผมขับตรงไปอีกนิดหน่อยแล้วก็เลี้ยวเข้าไปอีก 4 กิโลเมตร พอเข้าไปก็จะถึงเขื่อนปากมูลก่อน สำหรับเขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นขวางลำน้ำมูลก่อนไหลลงแม่น้ำโขง
เลยเขื่อนปากมูลอีกไม่ไกลผมก็ถึง “อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ” ครับ ก่อนอื่นก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเสียก่อนผมจ่ายไป 20 บาท จ่ายเงินกันแล้วก็เข้าไปด้านในของอุทยานกันเลย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มากันที่นี่ก็จะนิยมไปถ่ายรูปที่แก่งตะนะและสะพานแขวนข้ามแม่น้ำมูล
โน่นนะครับสะพานแขวนที่ผมพูดถึงแต่ผมไม่ได้ไปนะเพราะแค่มองจากตรงนี้ก็สวยแล้ว ก่อนกลับผมก็ไม่ลืมที่จะประทับตราอุทยานแห่งชาติไว้เป็นที่ระลึกเหมือนเช่นเคย
มาจังหวัดอุบลราชธานีในครั้งนี้ผมได้ตราประทับอุทยานแห่งชาติถึง 2 แห่งเลยนะครับ
“เวลา 11:38 น.” ทีนี้ผมต้องเดินทางกลับเข้าตัวเมืองอุบลราชธานีอย่างจริงๆจังๆสักทีแล้วครับ เจอกันอีกทีที่ตัวเมืองครับ บรึ้นๆ
“เวลา 13:22 น.” ผมเดินทางมาถึงตัวเมืองอุบลราชธานีแล้ว ผมมุ่งหน้าไปยังร้านที่ผมเช่ารถมาเพื่อนำรถไปคืนและรับเงินมัดจำ หลังจากเสร็จสิ้นการคืนรถแล้วผมก็จัดการโทรไปจองตั๋วรถทัวร์ขากลับกับทางบริษัทนครชัยแอร์ ซึ่งผมจองตั๋วรถได้ในเวลา 19:45 น. เป็นตั๋ว First Class ถ้าจะเอาตั๋วอีกราคาก็ต้องรอตอน 5 ทุ่มโน้นเลย ผมไปจ่ายค่าตั๋วรถทัวร์ที่เซเว่น อีเลฟเว่น พอเสร็จก็ไม่รู้จะไปไหนเลยตัดสินใจยืนรอรถสองแถวไปที่สถานีขนส่งนครชัยแอร์เลยดีกว่า
พอขึ้นรถสองแถวก็มาเจอยายคนนี้แหละครับ แกไถ่ถามผมว่าจะไปไหนแล้วแกคอยบอกทางผมอยู่เป็นระยะๆ จนผมลงรถสองแถวเลยครับ ขอบคุณยายมากๆเลยนะครับ
“เวลา 14:30 น.” ผมเดินทางมาถึงสถานีขนส่งนครชัยแอร์ ผมมีเวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมงสำหรับการรอรถทัวร์ ผมเดินไปที่ศูนย์อาหารเพื่อหาอะไรกินรองท้องก่อนเพราะตั้งเช้าของวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลย
จัดไปครับก๋วยจั๊บญวนและต่อด้วยน้ำแข็งใส หลังจากอิ่มแล้วผมก็เดินไปห้องน้ำเพื่อจะอาบน้ำ ขอตัวอาบน้ำก่อนนะครับ
“เวลา 18:30 น.” เวลาผ่านไปไวเหมือนกันอีกแค่ 1 ชั่วโมงเศษๆ รถทัวร์ก็จะออกแล้ว ผมไปนั่งรอรถทัวร์ในห้องรับรองผู้โดยสาร พลางหาขนมมานั่งกินเล่นด้วย
“เวลา 19:30 น.” พนักงานนครชัยแอร์ประกาศให้ผู้สารขึ้นไปนั่งบนรถทัวร์ได้
ผมเลือกที่นั่งแถวหน้าสุดริมกระจกครับ
“เวลา 19:45 น.” รถทัวร์ออกจากสถานีขนส่งนครชัยแอร์มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร ขอตัวพักผ่อนบนรถทัวร์ก่อนนะครับเจอกันอีกทีที่กรุงเทพฯครับ
“วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เวลา 03:54 น” รถทัวร์เดินทางมาถึงรังสิต ผมลงรถทัวร์ตรงนี้เลยครับและต่อรถแท็กซี่เข้าบ้านอีกต่อหนึ่ง ผมเดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพถือว่าการเดินทางของผมครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว เจอกันใหม่ทริปต่อไปนะครับนักเดินทางทุกท่าน
“สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางไปเที่ยวยังจังหวัดอุบลราชธานีครั้งนี้”
ด้วยเงินจำนวนเท่านี้มันก็สามารถให้ความสุขในการเดินทางแก่เราได้ อยู่ที่เราจะใช้มันให้เกิดประโยชน์มากแค่ไหน
สิ่งที่ต้องเตรียมไปในทริปนี้
รูปภาพส่งท้ายประจำทริปนี้
“ทุกครั้งที่ผมได้ออกเดินทาง ผมมีจุดมุ่งหมายเพื่ออยากให้รู้ว่าบ้านเรามีที่เที่ยวอีกมากมายรอให้เราออกไปค้นหาและอยากให้เที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างสรรค์ เพื่อให้ธรรมชาติยังคงอยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน เพราะผมเชื่อเสมอว่าธรรมชาติไม่เคยทำร้ายเรา”
***_______*** สวัสดี ***_______***