logo
image

icon-travel-2 จรวดเมืองไทย บุญบั้งไฟที่ร้อยเอ็ด

จรวดเมืองไทย บุญบั้งไฟที่ร้อยเอ็ด

ธันวาคม 12, 2019
แชร์ :

“หลังจากกลับมาจากจังหวัดระนอง เมืองฝนแปด แดดสี่ ผมก็เตรียมการสำหรับการเดินทางในเดือนพฤษภาคมทันที สำหรับทริปนี้มันเป็นทริปที่ผมจะต้องเดินทางไปตามวันเวลาที่เขาได้กำหนดไว้ ซึ่งต่างจากทริปอื่นๆที่ผมเคยเดินทาง ทริปนี้ผมมุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและจุดหมายปลายทางของผมในทริปนี้ก็คือ “ประเพณีงานบุญบั้งไฟ

เมื่อกล่าวถึง “ประเพณีงานบุญบั้งไฟ” กันแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะนึกจังหวัดยโสธรที่มีการจัดงานยิ่งใหญ่และดังไปทั่วประเทศ แต่ผมเลือกที่จะเดิทางไปที่ “ประเพณีบุญบั้งไฟ อำเภอพนมไพร” จังหวัดร้อยเอ็ด เพราะถ้าว่ากันตามจริงแล้วที่อำเภอพนมไพรก็มีชื่อเสียงอยู่พอสมควรครับ สำหรับงานบุญบั้งไฟที่อำเภอพนมไพร จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2561 (วันจัดงานให้ตรวสอบทางอินเตอร์เน็ตได้เลยนะครับเนื่องจากการจัดงานบุญบั้งไฟที่อำเภอพนมไพรมีการระบุวันจัดงานไว้อย่างแน่นอนแล้ว)

หลังจากที่ผมเฝ้ารอการเดินทางไปเที่ยวงานบุญบั้งไฟตั้งแต่ปีที่แล้ว ในที่สุดวันที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวงานบุญบั้งไฟก็มาถึงจนได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้เดินทางไปเที่ยวงานบุญบั้งไฟก็มาจากเพื่อนผมนี่แหละ คือเพื่อนของผมแนะนำผมให้ลองมาเที่ยวงานบุญบั้งไฟที่อำเภอพนมไพรมาโดยตลอดทำให้ผมเกิดความสนใจและเริ่มค้นหาข้อมูลข่าวสารเรื่องการจัดงานและการเดินทาง และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหาข้อมูลแล้วผมก็ทำการจองตั๋วรถทัวร์ไปลงที่อำเภอพนมไพร ครั้งนี้ผมเลือกใช้บริการของ “ประหยัดทัวร์” ออกเดินทางวันที่ 28 พฤษภาคม 2561

ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังอำเภอพนมไพรเพื่อไปเที่ยวงานบุญบั้งไฟ ผมขอเล่าประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟแบบย่อๆให้พอเป็นความรู้ก่อนนะครับ

เมืองแสนล้านช้าง” หรือ อำเภอพนมไพรในปัจจุบัน มีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูติผีปีศาจ และอำนวจลึกลับต่างๆ พิธีกรรมหลายอย่างจึงเกิดเพื่อเซ่นไหว้บวงสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งตามคติความเชื่อของอีสานเพื่อการส่งสัญญาณขึ้นไปขอฝนจากพระแถน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงขอให้ประทานน้ำฝนให้ถูกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหารให้อุดมสมบูรณ์ อยู่เย็นเป็นสุขตลอดทั้งเพื่อความสนุกสนานก่อนถึงฤดูทำนา ซึ่งอำเภอพนมไพรมีมาแต่สมัยเมืองแสนล้านช้าง ซึ่งเดิมจะเรียกกันว่า บุญบั้งไฟเมืองแสน แต่บุญบั้งไฟอำเภอพนมไพรมีความแตกต่างจากท้องถิ่นอื่นๆ 2 ประการคือ ประการแรก กำหนดวันจัดแน่นอนคือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี มาแต่โบราณ ไม่มีใครอธิบาย หรือให้คำตอบได้ว่าเพราะอะไร และหากจัดก่อนหรือหลังที่กำหนดนี้ มักจะเกิดเหตุเภทภัยอยู่หลายครั้ง ประการที่สอง ความเชื่อความศรัทธาความเคารพที่มีต่อเจ้าพ่อพระมหาธาตุหรือเจ้าพ่อจุมคำ ซึ่งเป็นเจ้าพ่อมเหศักดิ์ที่คนรู้จักในนามเจ้าพ่อพระมหาธาตุวัดกลางอุดมเวทย์ เป็นเทพสถิตอยู่ที่พระมหาธาตุ ชาวพนมไพรเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่ามีอำนาจป้องกัน วาตภัย อุทกภัยได้ และสามารถช่วยเหลือผู้มีความเดือดร้อน และเจ้าพ่อชื่นชอบบั้งไฟเป็นพิเศษ ชาวบ้านมักไปบนบาน หรือไปขอให้เจ้าพ่อพระมหาธาตุช่วยเหลือ เมื่อประสบผลสำเร็จแล้วจะแก้บนด้วยการถวายบั้งไฟ ดังนั้นประเพณีบุญบั้งไฟพนมไพรจึงเกี่ยวข้องกับความเชื่อความศรัทธาที่มีต่อเจ้าพ่อพระมหาธาตุวัดกลางอุดมเวทย์ แต่ก็ยังคงบูชาพระยาแถนเหมือนจังหวัดอื่นๆในภาคอิสานที่เขาทำกัน

เป็นยังไงบ้างครับสำหรับประวัติความเป็นมาของงานบุญบั้งไฟที่อำเภอพนมไพร หากใครสนใจที่จะมาร่วมงานบุญบั้งไฟก็ตรวจเช็คกำหนดการจัดงานได้ตามนี้เลยนะครับ

อ่อๆ งานบุญบั้งไฟที่อำเภอพนมไพรจะจัดขึ้นในวันขึ้น 15 เดือน 7เท่านั้นนะครับ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปจัดวันอื่นได้

ก่อนถึงวันออกเดินทางหนึ่งวันตัวผมเองเริ่มทำการเก็บสัมภาระที่จำเป็นต่อการเดินทางในทริปนี้ลงกระเป๋าครับ

สำหรับตั๋วรถทัวร์ผมใช้วิธีการจองด้วยระบบออนไลน์เหมือนเช่นเคยครับ รถทัวร์ที่นักท่องเที่ยวสามารถนั่งตรงจาก กรุงเทพฯ ไปยัง อำเภอพนมไพร มีอยู่ 2 บริษัทด้วยกันนั่นก็คือ บริษัทประหยัดทัวร์ และ สหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์ ขาไปผมเลือกใช้บริการของบริษัทประหยัดทัวร์สนนราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 355 บาทครับ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2561 เวลา 19:00 น.” ผมเดินทางออกจากบ้านพักย่านสายไหมเพื่อมุ่งหน้าไปยังขนส่งหมอชิต

ผมต้องนั่งรถออกจากหมู่บ้านแล้วค่อยต่อรถไปยังรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสวนจตุจักร

การนั่งรถเมล์ร้อนในช่วงที่อาการร้อนๆแบบนี้ทำให้ตัวผมชุ่มไปด้วยเหงื่อเลยครับ

เวลา 20:30 น.” ผมเดินทางมาถึงสถานีขนส่งหมอชิต มาถึงก่อนเวลาที่รถจะออกตั้ง 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมจึงทำได้เพียงแค่นั่งรอให้เวลามันผ่านไป

พลางนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างมาตรวจสอบระดับของแบตเตอรี่เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

ผมนั่งรอจนใกล้ถึงเวลาที่รถจะออก ผมจึงเดินตามหาชานชาลาที่ 9 เพื่อไปนั่งรอรถครับ

เวลา 22:00 น.” ในที่สุดการเดินทางสู่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ก็เริ่มขึ้นแล้ว ตามผมไปเที่ยวประเพณีงานบุญบั้งไฟด้วยกันนะครับ ส่วนช่วงนี้ผมขอตัวพักผ่อนนอนหลับก่อนนะครับ ไปถึงที่อำเภอพนมไพร ได้ลุยเที่ยวงานกันให้เต็มที่ครับ ฝันดีครับทุกคน

วันที่ 29 พฤษภาคม 2561 เวลา 02:14 น.” เป็นนอนหลับบนรถทัวร์ที่ยาวนานมากสำหรับผม หลับแบบไม่รู้สึกตัว และมารู้ตัวอีกทีรถทัวร์ก็มาจอดที่จุดพักรถ ของบริษัทประหยัดทัวร์เพื่อให้ผู้โดยสารได้กินข้าวและเข้าห้องน้ำ ส่วนตัวผมเองไม่ได้ไหวติงไปไหนทั้งสิ้นหลับอยู่บนรถอย่างเดียวเลยครับไม่รู้ว่าไปเหนื่อยอะไรมา ฮ่าๆ

การเดินทางครั้งนี้มันเป็นการเดินทางไปร่วมงานที่เป็นงานบุญครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้เพราะปกติแล้วผมชอบเที่ยวแบบแนวธรรมชาติมากกว่า แต่ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น การจุดบั้งไฟ ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะเดินทางไปที่อำเภอพนมไพร

เผลอไปแป๊บเดียว พนักงานประจำรถทัวร์ก็ส่งเสียงเรียกผู้โดยสารขึ้นรถทัวร์เพื่อเดินทางกันต่อครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็จะเดินทางถึงอำเภอพนมไพรแล้ว ไปครับออกเดินทางกันต่อ

เวลา 06:03 น.” โว่วๆ เย่ๆ ถึงแล้วโว้ยๆๆๆๆ บอกได้คำเดียวเลยว่า “เมื่อยมาก” พอถึงผมก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า ล้างตา แปรงฟัน

สถานีขนส่งอำเภอพนมไพรเป็นสถานีขนส่งเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่มากนัก ผมนั่งพักอยู่สักครู่หนึ่ง ผมนั่งคิดว่าผมควรซื้อตั๋วรถทัวร์ขากลับไว้เลยจะดีกว่าไหม ? เพราะดูจากสถานการณ์แล้วพรุ่งนี้ตั๋วขากลับน่าจะเต็มเป็นแน่แท้ ผมจึงเดินไปติดต่อซื้อตั๋วรถทัวร์ ขากลับผมเลือกใช้บริการของบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์ เพื่อจะได้รู้ถึงความแตกต่างของทั้งสองบริษัท สำหรับราคาตั๋วขากลับนั่นอยู่ที่ 424 บาทเป็นรถนอน VIP 32 ที่นั่ง(ผมแอบเห็นรถละ)

หลังจากที่ผมได้ทำการซื้อตั๋วรถทัวร์ขากลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มทำเดินสำรวจบริเวณสถานที่จัดงานบุญบั้งไฟ อำเภอพนมไพร ปี 2561 ซึ่งสถานที่จัดงานก็อยู่ใกล้ๆกับท่ารถโดยสารของอำเภอพนมไพร นั่นแหละ ผมสังเกตเห็นว่าเริ่มมีการตั้งขบวนแห่บั้งไฟกันตั้งแต่ผมนั่งรถเข้ามาแล้วครับ พร้อมกับเวทีแสดงคอนเสิร์ตด้วยดูครึกครื้นเป็นอย่างมากครับ ร้านค้าของกิน ของฝาก เริ่มทยอยเปิดให้บริการกันบ้างแล้ว

ผมเดินเล่นบริเวณสถานที่จัดการไปเรื่อยๆ เดินผ่านขบวนแห่บั้งไฟหลายขบวนที่กำลังเตรียมความพร้อมอยู่ริมถนน

เดินผ่านร้านไก่ย่างที่ส่งกลิ่นกรุ่น เรียกความหิวของผมแต่เช้าเลย

ผมเก็บภาพความงามของขบวนแห่บั้งไฟจนเกือบทุกขบวนแหละครับ ถึงแม้ว่าจะมีการตบแต่งคล้ายกันแต่มันก็ยังคงความงดงามในสายตาของผมเสมอ

จากภาพจะเห็นว่ามีขบวนบั้งไฟอยู่ 2 ชนิดด้วยกันดังนี้นะครับ (ตามความเข้าใจสั้นๆ ง่ายๆ)

  • ขบวนบั้งไฟเอ้ คือ ขบวนบั้งไฟที่ถูกตกแต่งขึ้นเพื่อความสวยงามของขบวนแห่นั้นๆ ซึ่งว่า “เอ้” ในภาษาลาวและภาษาอิสานคือ การตกแต่งประดับประดาให้เกิดความสวยงามครับ และขบวนบั้งไฟเอ้แต่ละขบวนก็จะมี “นางเอ้” ซึ่งก็คือนางรำเป็นองค์ประกอบของขบวนแห่ด้วยนะครับ
  • ขบวนบั้งไฟโบราณ คือ เป็นขบวนบั้งไฟที่คงไว้ตามรูปแบบเดิมตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่ง ใช้เกวียนมาตกแต่งนั่นเอง

ระหว่างที่ผมเดินเก็บภาพและถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆนั้นผมก็ได้สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ถึงเวลาเริ่มงานว่าจะเริ่มมีขบวนแห่กันตอนกี่โมง ชาวบ้านบอกกับผมว่าพิธีเริ่มงานก็ขึ้นอยู่จำนวนขบวนแห่บั้งไฟว่าในแต่ละปีมีมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญก็ต้องรอพิธีเปิดงานก่อนถึงเริ่มขบวนแห่บั้งไฟและการประกวดขบวนแห่บั้งไฟครับ

ถึงตอนนี้แล้วขบวนแห่แต่ละขบวนก็เตรียมความพร้อมขั้นตอนสุดท้ายกันแล้ว

บ้างก็กินข้าวกินปลาเพื่อเติมพลังในยามเช้ากันก่อน เพราะดูท่าทางวันนี้จะต้องสนุกจนเหนื่อยกันทั้งวันแน่ๆ

หลังจากตั้งแต่ลงจากรถทัวร์มา ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จผมก็เดินถ่ายรูป เก็บภาพความงามมาตลอด ถึงตอนนี้ผมขอหาที่นั่งพักก่อนนะครับ พักพอให้มีแรงแล้วว่ากันอีกทีครับ

เวลา 08:45 น.” เอาแล้วๆ เริ่มเสียงเพลงบรรเลงให้ความบันเทิงกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากความเงียบเหงายามเช้าที่ผมเดินทางมาถึงตอนนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นความบันเทิงเต็มรูปแบบแล้วครับ เหล่านางรำก็เริ่มเตรียมความพร้อมที่จะร่วมในขบวนแห่บั้งไฟกันเต็มที่

นักท่องเที่ยวและชาวบ้านก็เริ่มทยอยออกมาร่วมงานแห่บุญบั้งไฟหนาตากันมากขึ้น

พ่อเฒ่า แม่เฒ่า ก็ไม่พลาดที่จะออกมาร่วมงานบุญ

รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ให้ความสนใจเช่นกันครับ ผมเดินมาจับจองที่นั่งตรงลานจัดงานประกวดขบวนแห่บั้งไฟ

บริเวณลานประกวดทางเทศบาลอำเภอพนมไพรได้จัดทำที่นั่งเป็นอัฒจรรย์ไว้สำหรับผู้ที่เข้าชมขบวนแห่บั้งไฟ สำหรับวันนี้ช่วงเช้าถึงช่วงสายๆ อากาศค่อนข้างร้อนและอบอ้าว แดดก็แรงแต่ก็ยังพอมีเมฆบ้างเป็นบางจุด ผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้ฝนอย่าตกเลย

เวลา 11:30 น.” ประธานในพิธีเดินทางมาถึงซึ่งครั้งนี้ได้รับเกียรติจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นประธานเปิดงานบุญบั้งไฟ อำเภอพนมไพร ประจำปี 2561 แล้วครับ

หลังจากที่ท่านประธานในพิธีกล่าวเปิดงานเสร็จเรียบร้อย ต่อมาก็ได้มีขบวนแห่อันเชิญถ้วยรางวัลพระราชทานจากองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมาลี มายังสถานที่จัดงาน

และก็มีขบวนแห่บั้งไฟเกียรติยศของเทศบาลอำเภอพนมไพรและโรงเรียนพนมไพรวิทยาคารเป็นลำดับถัดไปครับ

มีวงดุริยางค์เดินนำหน้าขบวนแห่บั้งไฟเกียรติยศ พอเสร็จสิ้นพิธิการต่างๆแล้ว จากนี้ไปขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ความมันส์ ร่วมกันเซิ้ง กันได้แล้วครับ

สาวที่เห็นกันในภาพนี้เป็นขบวนแห่บั้งไฟเกียรติยศของเทศบาลอำเภอพนมไพร มีคนร่วมรำทั้งหมด 76 คน ต่อไปก็เป็นขบวนแห่บั้งไฟเกียรติยศเช่นกันเป็นน้องที่มาจากโรงเรียนพนมไพรวิทยาคารที่ผมบอกไปเมื่อตอนต้นแล้ว

ผมสนุกสนานและเพลิดเพลินกับการเซิ้ง การรำ มากขับถึงขนาดอดใจไม่ไหวแอบขยับตามจังหวะบ้างครับ ชาวบ้านที่มาร่วมงานก็เช่นกัน หลายคนเนียนเข้าไปเต้นกับน้องในขบวนแห่บั้งไฟเลยเสียด้วยซ้ำ หลังจากขบวนแห่บั้งไฟเกียรติยศเสร็จสิ้นไปขั้นตอนต่อไปก็คือการประกวดการแข่งขันขบวนแห่บั้งไฟเอ้ บั้งไฟโบราณ และคณะนางรำครับ

ดนตรี กลองยาว พิน ฉิ่ง ฉาบ พร้อมแล้ว….เริ่มได้

และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เข้าร่วมประกวดขบวนแห่บั้งไฟในปีนี้ แต่ละคณะประชัน ขันแข่งกันอย่างสนุกสนาน สร้างรอยยิ้มและความบันเทิงให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นอย่างผมและคนอื่นๆเป็นอย่างมาก ขบวนแห่บั้งไฟแต่ละขบวนจะนำด้วยนางรำ แต่ต่อด้วยตัวละครในนิทานพื้นบ้านเรื่อง “ผาแดงนางไอ่”และปิดท้ายขบวนด้วยบั้งไฟ

นอกจากนี้แล้วปีนี้ยังมีขบวนแห่แฟนซีสาวประเภทสองของทีมยโสธรวัสดุที่มาสร้างความบันเทิงและความเฮฮาให้กับผู้ร่วมงานด้วยนะครับ

ต้องขอบอกเลยครับ เรื่องแบบนี้ งานแบบนี้ พวกเธอถนัดมาก แต่ละนางจัดหนักจัดเต็มครับ มีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง

เวลาผ่านไปเร็วมาก ถึงตอนนี้ขบวนการประกวดแห่บั้งไฟเพิ่งผ่านไปได้ 9 คณะจากทั้งหมด 17 คณะ ร่างกายผมเริ่มอ่อนล้า เพลียแดด อีกทั้งจำนวนก็มาก ผมจึงเปลี่ยนไปเดินถ่ายรูปและเดินเล่นบริเวณรอบๆสถานที่จัดงานบ้าง

ด้านนอกก็เตรียมความพร้อมการแสดงกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครยอมใคร

บ้างก็เปิดเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน แต่ละคณะขนเครื่องมาเปิดประชันกันอย่างเมามันส์

สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุดก็คือความเป็นมิตรของคนที่นี่ ไม่ว่าผมจะเดินไปไหนมาไหนซึ่งไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว คนในพื้นที่ก็มักจะส่งยิ้มให้ผม อีกทั้งไม่มีการทะเลาะ ก่อความวุ่นวาย หรือมีเรื่องชกต่อยกันแม้แต่น้อย ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีในชุมชนที่เข้มแข็ง ส่วนตอนนี้ผมพอพักหาข้าวกลางวันกินก่อนนะครับ

เวลา 15:34 น.” อิ่มแล้วพร้อมลุยงานบุญบั้งไฟต่อครับ ผมยังคงสนุกสนานกับสิ่งที่ผมกำลังสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้

อ่อๆ ลืมบอกไปครับ รอบๆบริเวณที่จัดงานมีวงดนตรีแสดงสดด้วยนะครับ

เห็นแบบนี้แล้วชื่นใจ ขาวๆทั้งนั้น ผมยืนยักย้าย ส่ายเอวไปมา อยู่ข้างเวทีริมต้นไม้ใหญ่ ที่กล้าก็เพราะว่ามันอดใจไม่ไหวจริงๆ อีกอย่างคนที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราสักกะคน แล้วเราจะอายไปทำไม ผมเต้นอยู่ได้ประมาณ 2 เพลงเห็นจะได้ อยู่ดีๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ในเต็นท์คนก็เต็มแล้ว ผมจึงหยุดสเต็ปของผมไว้แต่เพียงเท่านี้และวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ท่ารถ ฝนตกยังกับฟ้ารั่วและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ตัวผมเปียกปอนพอสมควร

ในเมื่อฝนตกหนักแบบนี้แล้วมันให้ผมเองต้องขอยุติกิจกรรมของผมภายในวันนี้ลง และสิ่งที่ผมต้องทำต่อไปคือหาที่นอนคืนนี้ให้ได้ก่อน แต่เอาจริงๆแล้วไม่ต้องเดินหาให้เสียเวลาหรอกครับ เพราะห้องพักในรัศมีใกล้ที่จัดงานเต็มหมดทุกที่ ผมจึงตัดสินใจเดินไปที่โรงอาหารของโรงเรียนและกะว่าคืนนี้จะนอนที่นี่แหละ แอบชาร์จแบตเตอรี่ซะเลย แต่ด้วยความดีที่พอจะมีติดตัวบ้าง ทันใดนั้นก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้น ติ้งๆ ติ้งๆ ติ้งๆ ไม่ใช่รถขายไอติมแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงไลน์ของผมเอง เพื่อนผมที่เป็นคนอำเภอพนมไพรทักมาว่า

เพื่อนผม : แกหาที่พักได้ยัง ?

ตัวผมเอง : ยังเลยว่ะ

เพื่อนผม : อ้าว….แล้วคืนนี้แกจะไปนอนที่ไหน ?

ตัวผมเอง : เดี๋ยวว่าจะนอนในโรงเรียนนี่แหละ

เพื่อนผม : จะบ้าเหรอ

ตัวผมเอง : ขี้เกียจหาแล้วอ่ะมันเต็มหมด หรือแก จะให้ไปนอนที่บ้านแกได้(ถามเล่นแต่ผมคิดจริง)

เพื่อนผม : ไปได้เดี๋ยวให้พ่อไปรับ

ตัวผมเอง : เราอยู่ตรงนี้นะ(รีบบอกกลัวไม่มีที่นอน)

จบการสนทนา และตั้งหน้าตั้งตารอพ่อเพื่อนมารับ ผ่านไปไม่นานพ่อเพื่อนผมก็มารับผมไปพักที่บ้าน ซึ่งบ้านเพื่อนผมอยู่ห่างจากตัวอำเภอพนมไพรประมาณ 16 กิโลเมตร

พ่อเพื่อนผมบอกว่าถ้าคืนนี้จะมาเที่ยวก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่บ้านออกมาเที่ยวได้ โอ้ว…ใจดีเข้าไปอีก แถมเข้าทางผมเลยแบบนี้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคืนนี้ฝนจะตกหรือเปล่า ?

เวลา 17:15 น.” ผมเดินทางมาถึงบ้านเพื่อนผมซึ่งผมจำได้ว่าตอนนั่งรถทัวร์มาจากกรุงเทพฯ ก็ผ่านทางนี้ด้วย ผมได้รับการต้อนรับจากทุกคนที่บ้านเพื่อนผมอย่างอบอุ่น ผมนำกระเป๋าเข้าไปเก็บและนอนพักผ่อน รอดูสถานการณ์ฝน

เวลาผ่านไปจนฟ้ามืดฝนก็ยังคงตกอยู่ ผมจึงตัดสินใจไม่ออกไปเที่ยวงานตอนกลางคืนที่ตัวอำเภอครับ เมื่อไม่ได้ออกไปไหนผมก็อาบน้ำเตรียมตัวนอนดีกว่า

เวลา 19:45 น.” คนต่างจังหวัดไม่ว่าจะที่ไหนเขาเข้านอนกันเร็วครับ ทำให้ผมเองก็ต้องนอนเร็วตามไปด้วยแต่มันก็ดีกับตัวผมเองที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแถมพรุ่งนี้ต้องเดินทางออกจากบ้านเพื่อนแต่เช้าเพื่อไปยังลานจุดบั้งไฟ ผมจึงเตรียมตัวเข้านอน

เวลา 20:45 น.” ผมทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับอาการปวดหัวเล็กน้อย ฝันดีครับทุกคนแล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่ลานจุดบั้งไฟกันนะครับ

วันที่ 30 พฤษภาคม 2561 เวลา 05:00 น.” ผมตื่นนอนแต่เช้าเหมือนเช่นเคย ตื่นมารับอากาศอันบริสุทธิ์ จากนั้นก็ไปอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังลานจุดบั้งไฟ ผมทำภารกิจยามเช้าของผมเสร็จผมมองไปยังหน้าบ้านของเพื่อนผม ผมเห็นมีผู้คนนั่งคุยกันอยู่ ซึ่งในนั้นก็มีแม่เพื่อนผมร่วมอยู่ด้วยรวมถึงเพื่อนบ้าน ซึ่งพวกเขากำลังนั่งรอใส่บาตรพระพลางคุยกันไปด้วย ผมจึงหยิบกล้องไปเพื่อขอทุกๆคนถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งผมเคยได้รับความมีน้ำใจจากคนที่นี่

ผมชอบความเป็นธรรมชาติของคนต่างจังหวัด เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีความจริงใจ ที่นี่ก็เช่นกันครับ ผมถ่ายรูปเสร็จแล้วก็กลับไปเก็บสัมภาระทั้งหมดลลงกระเป๋าและเตรียมตัวออกเดินทางต่อ

เวลา 06:00 น.” พ่อเพื่อนผมขับรถออกจากบ้านเพื่อไปส่งผมที่ลานจุดบั้งไฟซึ่งห่างจากท่ารถที่อยู่ในตัวอำเภอประมาณ 5-6 กิโลเมตร พ่อเพื่อนขับรถไม่นานนักก็พาผมมาถึงสถานที่จุดบั้งไฟและส่งผมลงตรงปากทางเข้า จากจุดที่ผมลงผมต้องเดินเท้าเข้าไปอีกนิดหน่อยครับ

ช่วงที่ผมมาถึงที่นี่มันยังเช้าอยู่มาก จำนวนคนเลยไม่ค่อยหนาแน่สักเท่าไหร่นัก

ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วงครับ บริเวณรอบลานจุดบั้งไฟเต็มไปด้วยร้านค้าไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ร้านขายของกินนานาชนิด เครื่องประทับ ของที่ระลึก มีหมดทุกอย่างครับ ในเมื่อมาถึงแล้วผมจึงเดินเข้าไปยังลานจุดบั้งไฟเพื่อทำการสำรวจสถานที่ก่อนว่าตรงไหนเหมาะสมกับการดูการจุดบั้งไฟ

และนี่ก็คือแท่นจุดบั้งไฟครับมีทั้งหมด 2 ส่วนด้วยกันครับ แท่นใหญ่ที่เห็นในภาพนี้เป็นแท่นจุดบั้งไฟแสน บั้งไฟล้าน บั้งไฟสิบล้าน

ส่วนแท่นเล็กอันนี้เป็นแท่นที่อยู่ด้นหลังแท่นใหญ่เป็นแท่นจุดบั้งไฟหมื่นครับ

สำหรับหมายกำหนดการจุดบั้งไฟในปีนี้จะเริ่มจุดกันในเวลา 8 โมงเช้า

ไหนๆเราก็จะมาดูการจุดบั้งไฟกันแล้ว งั้นก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักบั้งไฟที่จะจุดกันในวันนี้ก่อนดีกว่าครับ วันนี้บั้งไฟที่จุดมีทั้งหมด 2 ประเภทคือ บั้งไฟหมื่น และ บั้งไฟแสน แต่เดิมทีมีจุดบั้งไฟล้านด้วยแต่ทางฝ่ายจัดคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักจึงขอยกเลิกการจุดบั้งไฟล้านไป ให้จุดได้เพียงบั้งไฟหมื่นและบั้งไฟแสนอย่างที่ผมเกริ่นไปเมื่อตอนต้นไงครับ
ประเภทของบั้งไฟ บั้งไฟมี 2 ประเภท

  • ประเภทที่ 1 ได้แก่ บั้งไฟที่ไม่มีหาง เช่นบั้งไฟพุ บั้งไฟพะเนียง บั้งไฟตะไล บั้งไฟดอกไม้ บั้งไฟโครงขาว บั้งไฟม้า
  • ประเภทที่ 2 ได้แก่ บั้งไฟที่มีหาง ซึ่งแบ่งเป็น 4 หมวดหมู่ ดังนี้
  1. บั้งไฟน้อย เป็นบั้งไฟที่มีขนาดเล็กบั้งไฟชนิดนี้ถูกนำมาใช้เพื่อเสี่ยงทายดูว่าฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ ถ้าหากว่าบั้งไฟถูกยิงขึ้นไปสูงสุดหมายถึงฝนจะดี
  2. บั้งไฟร้อย เป็นบั้งไฟที่บรรจุดินปืนน้อยกว่า 12 กิโลกรัม ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการแข่งขัน
  3. บั้งไฟหมื่น เป็นบั้งไฟที่บรรจุดินปืนระหว่าง 12 – 119 กิโลกรัม
  4. บั้งไฟแสน เป็นบั้งไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งบรรจุดินปืน 120 กิโลกรัมการแห่บั้งไฟ

จะเห็นได้ว่าการเรียกบั้งไฟว่า บั้งไฟร้อย บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน หรือบั้งไฟล้าน มันขึ้นอยู่กับจำนวนดินปืนที่ใส่เข้าไปในการทำบั้งไฟแต่ละบั้ง หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับบั้งไฟกันนะครับ

ผมเดินดูบริเวณรอบๆลานจุดบั้งไฟ ผมก็เห็นช่างทำบั้งไฟกำลังเตรียมความพร้อมในการจุดบั้งไฟ

ซึ่งแต่ละคนก็ช่วยเหลือกันอย่างแข็งขัน แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ทำให้งานที่ได้ออกมาอย่างมีคุณภาพและรวดเร็วทันใจคนที่มาเฝ้าดูการจุดบั้งไฟในวันนี้

เวลา 08:00 น.” ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ที่จะทำการจุดบั้งไฟแล้ว บั้งไฟลูกแรกเป็นการจุดเพื่อถวายองค์พระธาตุที่วัดกลางอุดมเวทย์ ซึ่งถือว่าเป็นบั้งไฟปฐมฤกษ์ครับ

สำหรับวันนี้จะมีการจุดบั้งไฟทั้งหมด 1,122 บั้งงแบ่งเป็นการจุดเพื่อบูชาพระยาแถน นมัสการพระธาตุ และ จุดเพื่อแก้บน ที่บนไว้กับพระธาตุ

วันนี้ผมกะว่าจะอยู่บริเวณลานจุดบั้งไฟไปเรื่อยๆเลยครับ ดูให้หนำใจกันไปเลย อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันที่ผมเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว และรถทัวร์ก็ออกในช่วงค่ำผมเลยไม่รู้จะไปอยู่ไหนครับ พอยิ่งสายแดดก็เริ่มแรงแต่ไม่ได้ทำให้จำนวนผู้คนที่มาเฝ้าดูการจุดบั้งไฟน้อยลงไปเลย

โฆษกประกาศและให้สัญญาณการจุดบั้งไฟเป็นระยะๆ อย่างไม่ขาดสายครับ

สำหรับการแข่งขันการจุดบั้งไฟนั้นมีเกณฑ์การตัดสินคือ ความตรงต่อเวลา ความพร้อมในการจุด การทยานขึ้นสู่ยอดไฟ และ ความสูง ส่วนความสูงนั้นจะใช้การจับเวลาเป็นการวัดความสูง

ส่วนเทคนิคที่จะทำให้บั้งไฟที่จุดตั้งลำขึ้นตรงนั้น ผมแอบไปสอบถามพวกพี่ๆ ที่เป็นทีมงานของแต่ละค่ายได้ความมาว่า เวลาเอาบั้งไฟขึ้นแท่นจุดนั้น จะเห็นได้ว่าทีมงานจะเอาวัสดุหรืออุปกรณ์บางอย่างมัดไว้กับหางของบั้งไฟแต่อย่าให้แน่นมาก เพราะถ้าแท่นแน่นมากจะทำให้บั้งไฟไม่ทยานตัวออก เวลาจุดหางบั้งไฟจะสั่นและเกิดแรงเหวี่ยงถ้าไม่รัดไว้ก็จะทำให้บั้งไฟเอียงเวลาทยานขึ้นสู่ยอดฟ้า ดังนั้นการรัดหางบั้งไฟไว้จะทำให้หางบั้งไฟสั่นและเหวี่ยงน้อยลงและตอนทยานขึ้นก็จะตรงครับ เท่าที่ผมดูไม่มีบั้งไฟอันไหนไม่รัดเลยครับ

เวลา 11:15 น.” ถึงตอนนี้ก็ใกล้เวลาเที่ยงวันแล้ว ผมเริ่มมีอาการหิว ท้องร้อง ผมจึงเดินออกมาจากบริเวณลานจุดบั้งไฟเพื่อหาของกิน จริงๆแล้วบริเวณลานจุดก็มีร้านขายของเยอะนะ แต่ผมขออยู่ห่างจากเสียงของบั้งไฟสักพักหนึ่งก่อนครับ

และนี่ก็เป็นอาหารมื้อเที่ยงของผมในวันนี้ครับ เป็นอาหารง่ายๆ ที่เดินไปตรงไหนของบริเวณงานก็เจอครับ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นก็ถือว่าใช้ได้ครับ ผมนั่งกินไก่ย่างพลางนั่งพักผ่อนไปด้วย

หลังอิ่มท้องจากการกินแล้วผมจึงเดินเล่นบริเวณจัดงาน(ด้านนอก) ที่นี่เหมือนตลาดนัดเลยก็ว่าได้ครับ

เดินไปเดินมาก็เริ่มออกอาการเมื่อยล้า อาการหนังท้องตึง หนังตาหย่อน ก็เริ่มมา แต่เนื่องด้วยจำนวนคนที่มาดูการจุดบั้งไฟมีมากทำให้การจะหาที่นั่งหรือนอนพักสักที่หนึ่งมันกลายเป็นเรื่องยากไปเลยครับ ผมจึงเดินไปหาซื้อเสื่อพลาสติกที่ทำมาจากซองขนมยี่ห้อหนึ่งเพื่อนำมาปูนั่งและนอน

ผมนั่งและนอนพักผ่อนอยู่บริเวณนี้แหละครับ ด้านหลังของผมก็คือลานจุดบั้งไฟครับ

เวลา 15:34 น.” เสื้อผมเต็มไปด้วยเขมาดินปืนจากการจุดบั้งไฟ เหงื่อก็ไหล ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมอยากทำมากที่สุดคือการอาบน้ำ

ผมตัดสินใจเดินเท้ากลับเข้าตัวอำเภอพนมไพร เพื่อไปหาห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและนั่งรอรถทัวร์เดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเลย ระยะทางจากลานจุดบั้งไฟไปยังท่ารถทัวร์ที่อยู่ในตัวอำเภอนั้นประมาณ 5-6 กิโลเมตรครับ

ถามว่าเหนื่อย ? ผมตอบได้เลยว่าเหนื่อยมากครับ และด้วยแดดที่ร้อนและแรงทำให้ผมต้องเดินไป หยุดไป สายตาก็แอบมองว่าจะมีใครเรียกเราติดรถไปด้วยหรือเปล่า ฮ่าๆ ผมเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ได้ครับความมีน้ำใจจากชาวบ้าน ขันอาสาไปส่งผมที่ท่ารถทัวร์ครับ

ซึ่งบุคคลนี้ก็คือ ครูบุญเกิด ผู้ที่อาสาไปส่งผมและพาผมแวะไหว้พระธาตุที่วัดกลางอุดมเวทย์ด้วย ผมต้องกราบขอบพระคุณความมีน้ำใจของครูบุญเกิดมากเลยนะครับ

เวลา 16:45 น.” ผมเดินทางกลับมาถึงท่ารถทัว์ในตัวอำเภอพนมไพรแล้ว รอเวลาอีกไม่เกิน 3 ชั่วโมงรถทัวร์ก็จะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯแล้วครับ ผมใช้เวลาที่มีอยู่อาบน้ำและทำความสะอาดชำระล้างร่างกายที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อและเขมาดินปืนจากการจุดบั้งไฟ แต่แทนที่ผมจะอาบน้ำด้วยความสบายอกสบายใจกลับระแวงซะงั้น เนื่องจากประตูห้องน้ำที่ท่ารถมันล็อคไม่ได้ ถึงยังไงก็ตามตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อาบน้ำซิครับรออะไร (อย่าเปิดประตูมานะจ๊ะ) ถือว่าเป็นการอาบน้ำที่ลุ้นระทึกมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ครับ

หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปหาของกินก่อนที่จะขึ้นรถ เพราะวันนี้ทั้งวันผมกินแค่ข้าวเหนียวไก่ย่างเข้าไปเท่านั้นเอง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะเกิดอาการหิว และอาหารมื้อเย็นของผมในวันนี้ก็คือ

บะหมี่เกี๊ยวแห้งหมูกรอบ บะหมี่ชามนี้ช่วยให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเลยครับ สงสัยตัวผมเองจะหิวมาก ไปนั่งรอรถทัวร์ต่อดีกว่าครับ

เวลา 17:55 น.” บั้งไฟลูกสุดท้ายของงานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอพนมไพร ประจำปี 2561 ทยานขึ้นสู่ยอดฟ้า และนั่นก็เป็นสัญญาณว่าประเพณีงานบุญบั้งไฟปีนี้ได้จบลงแล้ว พบกันใหม่ปีหน้านะครับ

เวลา 18:50 น.” พนักงานประจำรถทัวร์เรียกผู้โดยสารให้ทยอยขึ้นรถได้

รถทัวร์ของบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์ ที่ผมใช้โดยสารกลับเป็นรถนอน VIP 32 ที่นั่ง เบาะกว้างดูแล้วนั่งสบายแน่เลย แถมยังมีที่ชาร์จ USB มีจอ LED ให้ดูทีวีได้ด้วย

สบายจริงๆ เบาะก็ปรับได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไปทับขาคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเบาะเรา อิอิ

เวลา 19:15 น.” ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯกันแล้ว และถึงเวลาที่ผมต้องบอกลาอำเภอพนมไพรแล้วซินะ

ผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าผมตัดสินใจถูกแล้วที่จองตั๋วรถทัวร์ขากลับไว้ตั้งแต่ตอนที่มาถึงที่อำเภอพนมไพรแห่งนี้เลย ผมขอตัวนอนหลับพักผ่อนก่อนนะครับ

วันที่ 31 พฤษภาคม 2561 เวลา 02:48 น.” รถทัวร์ที่ผมโดยสารมาเดินมาถึงฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต ซึ่งผมได้แจ้งกับพนักงานประจำรถทัวร์ไว้ว่าจะลงตรงบริเวณนี้ จากนั้นผมนั่งแท็กซี่ต่อเพื่อเดินทางไปยังบ้านพักของผม

เวลา 03:15 น.” ผมเดินทางกลับถึงบ้านพักของผมโดยสวัสดิภาพและนี่ก็ถือว่าเป็นการปิดทริปอย่างสมบูรณ์แบบของผมทริปหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ

“ทุกการเดินทาง ทุกครั้งที่ได้ออกไปตามสถานที่ต่างๆนั้น มันทำให้ผมได้เห็น ได้พบเจอ สิ่งใหม่ๆมากมาย อีกทั้งยังได้เจอกับมิตรภาพและความมีน้ำใจของผู้คนในพื้นที่และนั่นคือความประทับใจของผม ผมขอบคุณพี่น้องชาวพนมไพรทุกๆท่านที่ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีคุณค่าและสวยงามแบบนี้ไว้ ให้ลูกๆ หลานๆ และคนรุ่นหลังอย่างผมได้เห็นและได้สัมผัส ผมในฐานะนักท่องเที่ยวและนักเดินทางคนหนึ่งมีความสุขทุกครั้งที่มีส่วนทำให้ผู้คนได้รู้ว่า ประเทศไทยมีอะไรมากกว่าที่เราคิด”

สิ่งที่ต้องเตรียมไปในการเดินทางทริปนี้

  • เสื้อสีเข้มๆ จะได้ไม่เปื้อนมาก
  • แว่นกันแดดคุณภาพดีเอาไว้เวลาดูบั้งไฟขึ้นฟ้า
  • หน้ากากอนามัยปิดปาก-จมูก
  • กล้องส่องทางไกล
  • ร่มบังแดด
  • POWER BANK เพื่อชาร์จแบต
  • รองเท้าผ้าใบและรองเท้าอีแตะ
  • เสื้อกันฝนก็ควรมี
  • จองที่พักก่อนไปงานนี้ล่วงหน้า 1 เดือน
  • ถ้าสนุกกับดนตรีให้เต้น อย่าเก็บ
  • จองตั๋วขากลับไว้ล่วงหน้า
  • ทิชชูเปียกควรมีติดกระเป๋า

รูปภาพส่งท้ายในทริปนี้

แล้วพบกันใหม่ “สวัสดี” ครับ

ทัวร์ในประเทศไทย


บทความที่เกี่ยวข้อง