“สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่เคารพรักทุกท่าน เที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือนกลับมาอีกครั้งครับ สำหรับเดือนมิถุนายนนี้เป็นเดือนที่ผมกับมาดามของผมอยู่ด้วยกันและร่วมเดินทางด้วยกันมา 3 ปีแล้ว และสืบเนื่องจากเราทั้งคู่ทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ที่แออัดไปด้วยผู้คน การจราจร และความวุ่นวายอื่นๆ เราจึงอยากหนีความวุ่นวายมุ่งหน้าสู่สถานที่สงบเงียบที่เหมาะแก่การพักผ่อนและสัมผัสอากาศอันบริสุทธิ์ ดังนั้าเราจึงเลือกที่จะเดินทางมาที่ “จังหวัดสุโขทัย”
เมื่อเราพูดถึง “จังหวัดสุโขทัย” เราก็จะนึกถึงอดีตเมืองหลวงของประเทศเรา เมืองที่มีประวัติศาสตร์ของชาติและอารยธรรมอันยาวนาน สำหรับจังหวัดสุโขทัยโดยส่วนตัวแล้วผมเคยเดินทางมาที่นี่แล้ว 2 ครั้งและนี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วครับ ทริปนี้เรากะจะใช้เวลาประมาณ 2 คืน 3 วัน เมื่อได้สถานที่ ระยะเวลาในการพักผ่อน เราก็เตรียมวันลา และวันที่จะออกเดินทางกันเอาไว้ล่วงหน้าเลยครับ แต่เดิมทีเราจะออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 10 แล้วหล่ะแต่ดันมีธุระด่วนเลยต้องเปลี่ยนการเดินทางไปเป็นวันที่ 11 และออกเดินทางตอนตี 3 แต่เนื่องด้วยเราทำธุระนานจนเกินไปและกว่าจะกลับมาถึงห้องก็ปาเข้าไปตี 1 แล้วและพอตื่นขึ้นมาก็รู้เลยว่าเราคงขับรถด้วยสภาพแบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ อีกทั้งระยะทางค่อนข้างไกลด้วยหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมามันคงจะไม่คุ้ม เราจึงเลื่อนเวลาเดินทางออกไปอีกนิดหน่อยครับ
“วันที่ 11 มิถุนายน 2560 เวลา 06:15 น.” ล้อหมุนออกจากที่พัก ทริปนี้เราขับรถไปกันเองเราเดินทางโดยใช้เส้นทางสายเอเชียมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้ “สุโขทัย” ระหว่างเส้นทางเราก็จะผ่านจังหวัดต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น ปทุมธานี , อยุธยา , สิงห์บุรี , ลพบุรี , ชัยนาท , นครสวรรค์ , พิจิตร และพิษณุโลก นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เราขับรถไปเที่ยวด้วยระยะทางที่ไกลที่สุดเท่าที่เราเคยออกเดินทาง หากรู้สึกง่วงก็แวะปั้มน้ำมันทันทีหลังจากเราสองใช้เวลา 5 ชั่วโมงเศษๆ เราก็เข้าสู่เขตจังหวัดสุโขทัยแล้ว
จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของเราในวันนี้กันต่อเลยครับ นั่นก็คือ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย”
“เวลา 11:26 น.” และแล้วเราก็เดินทางมาถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกันแล้วครับ เมื่อถึงแล้วเราก็เดินตรงไปที่ร้านเช่าจักรยานสนนราคาคันละ 20 บาทเท่านั้นเองครับและก็ไปซื้อตั๋วเข้าอุทยานประวัติศาสตร์กันต่ออีก สำหรับค่าตั๋วเข้าชมนั้นคนไทยอยู่ที่ 20 บาท
จักรยานพร้อม ค่าตั๋วเรียบร้อย ตามเราไปดูความยิ่งใหญ่และความงดงามของอาณาจักรสุโขทัยกันเลยครับ หลักๆแล้วในตัวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวชมกันที่ วัดมหาธาตุ , วัดศรีสวาย , วัดสะพานหิน และวัดศรีชุม ซึ่งแต่ละวัดยังทิ้งร่องรอยทางอารยธรรมในอดีตให้เราได้เห็น
วัดแรกที่เราขี่จักรยานผ่านก็จะเป็น “วัดมหาธาตุ” ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครับ จากนั้นเราก็ปั่นจักรยานไปยังวัดถัดไปกันต่อครับ
เราปั่นจักรยานอีกไม่ไกลเราก็มาถึงวัดที่สองคือ “วัดศรีสวาย” วัดนี่เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจาก“พระปรางค์สามยอด” จังหวัดลพบุรี เสร็จแล้วเราก็ปั่นจักรยานเล่นดูบริเวณรอบๆอุทยานฯ ชั่วโมงเศษๆ
ช่วงที่เราเดินทางไปเที่ยวนั้นเป็นช่วงหน้าฝนทำให้บรรยากาศดูคลึ้มฟ้าคลึ้มฝนไปซักหน่อย แต่ต้นไม้ต้นหญ้าดูเขียวขจีดูแล้วสบายตา เราเที่ยวชมจนครบแล้วเราจึงนำจักรยานไปคืนร้านที่เราเช่ามาและขับรถไปยังอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งเป็นที่ที่ผมอยากไปและชอบมากที่สุดนั่นก็คือ “วัดศรีชุม”
เห็นวิหารที่อยู่ด้านหลังผมมั้ยครับ…ที่ตรงนั่นแหละครับที่เราจะเข้าไปเที่ยวชมกันครับ
สำหรับ “วัดศรีชุม” นั้นในวิหารจะมีพระประธานองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ ปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยกรมศิลปากรโดยการนำดินเหนียวญี่ปุ่นมาฉาบทั่วทั้งตัวองค์พระ ข้างประตูทางเข้าวิหารมีช่องลับ สมัยอดีตทหารในอาณาจักรสุโขทัยจะเข้ามาไหว้พระขอพรกันที่นี่
พลางเหลือบดูเวลานี่ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงเศษแล้ว หลังจากใช้พลังงานในการปั่นจักรยานไปเยอะถึงเวลาที่ต้องเติมพลังแล้ว
“เวลา 13:15 น.” เราเดินหาร้านอาหารที่หน้าอุทยานประวัติศาสตร์กัน บางร้านคนก็เยอะ เราจึงเลือกร้านที่คนน้อยๆและก็มาลงเอยที่ร้านลุงกับป้า เราไม่รอช้าที่จะทำการสั่งอาหารกินกันและจะได้เดินทางต่อไปยังที่พักของเราคืนนี้
รายการอาหารของเราสองคนในมื้อนี้ก็จะมี ส้มตำไทยใส่ปู , ยำหมูย่าง , ไก่ย่าง , ข้าวเหนียว สั่งแค่นี้ก่อนครับเพราะต้องเก็บท้องไปกินข้าวที่ “โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น” บ้างครับ ระหว่างที่เรากินมื้อกลางวันกันอยู่นั้น เราก็โทรไปที่โฮมสเตย์เพื่อนัดแนะจุดรับเข้าพักที่บ้านนัดเวลา รวมถึงกิจกรรมในช่วงเย็นในตอนที่เราไปถึงกันครับ
“เวลา 14:30 น.” เราขับรถออกจากร้านอาหารที่เรากินมื้อกลางวันกันเพื่อเดินทางกันต่อไปยังที่พักและจุดหมายปายทางของเราในทริปนี้ก็คือ “โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น” ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัยห่างจากตัวอำเภอประมาณ 60 กิโลเมตร เราขับรถไปก็จะเห็นสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งข้าวอันเขียวขจี มันเป็นอะไรที่สบายตาเอามากๆเลยครับ ขับไปมองป้ายไปรับรองไม่มีหลงครับ และแล้วเราก็เจอป้ายบอกทางสถานที่ที่เราจะเดินทางไปกันจนได้
เราสองคนนี่เห็นป้ายแล้วถึงอมยิ้มกันเลยทีเดียวเนื่องจากร่างกายเราเหนื่อยล้ามาเต็มที่แล้วและอยากจะพักผ่อนเอนหลัง ทิ้งตัวลงนอน และเพื่อความแน่ใจเราจึงโทรถามทางกับทางเจ้าของบ้านที่เราจะไปพักอีกครั้งครับ
“เวลา 16:15 น.” เราเดินทางมาถึง ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย (บ้านนาต้นจั่น) ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่โอบล้อมด้วยภูเขาครับ ซึ่งเรานัดกับป้าเจ้าของบ้านที่เราจะพักกันคืนนี้ไว้ที่ร้านค้าชุมชนที่เป็นศูนย์กลางของคนในชุมชนนี้ครับ
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนที่นี่ทั้งหมดจะถูกนัดหมายให้มาเจอกับเจ้าของบ้านพักที่นักท่องเที่ยวทำการจองไว้กับกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนา ต้นจั่นกันที่ร้านค้าชุมชนนี่แหละครับ โฮมสเตย์ที่นี่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มแม่บ้านที่นี่ครับ โดยมี ป้าเสงี่ยม (ป้าแกเป็น อบต.) เป็นคนริเริ่มทำครับเป็นเวลา 10 ปีกว่าแล้ว และป้าเสงี่ยมก็จะเป็นศูนย์กลางคอยจัดคิวให้นักท่องเที่ยวที่ทำการจองที่จะมาพักที่นี่เข้าพักในบ้านของสมาชิกในแต่ละหลังสลับ หมุนเวียนกันไปตามลำดับครับ
เราเดินเข้าไปในร้านค้าชุมชนเพื่อไปพบกับป้าเจ้าของบ้านกันครับ
เจอกันสักทีครับ เมื่อเจอกันแล้วก็ทักทายกันตามมารยาทของคนไทยครับ อ่อๆ ก่อนอื่นขอแนะนำชื่อเจ้าของบ้านที่เราจะไปพักกับเขาคืนนี้ก่อนนะครับ ป้าแกชื่อ “ป้าดา” ครับแต่ป้าเขาจะแทนตัวเองว่าแม่ ดังนั้นเราก็จะเรียกว่าแม่เช่นกันครับ พอทักทายและแนะนำตัวกันเสร็จแม่ดาก็อธิบายกิจกรรมต่างๆให้เราทราบและพาไปนั่งโต๊ะเพื่อกินอาหารพื้นถิ่นที่นี่ก่อนครับ
และนี่ก็คืออาหารพื้นถิ่นที่แม่ดานำเสนอครับมันคือ “ข้าวเปิ๊บ กับ ก๋วยเตี๋ยวแบ” ซึ่งเป็นอาหารที่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่จะต้องลอง ผมคงไม่เล่าถึงรสชาตินะครับเพราะถ้าใครอยากลองต้องไปกินกันเองที่บ้านนาต้นจั่นนะครับ และแม่ดาบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าจะพาไปกินอีกร้านหนึ่งที่เป็นต้นตำหรับของที่นี่ครับ
“เวลา 16:45 น.” หลังจากกินกันเสร็จแล้วแม่ดาก็พาเราไปยังบ้านของแม่ดากันครับ ซึ่งบ้านของแม่ดาก็อยู่ใกล้ๆร้านค้าชุมชนครับ วนรถกลับไปอีกแค่ประมาณ 200 เมตรก็ถึงแล้วครับ
และนี่ก็คือบ้านของแม่ดาที่เราจะนอนกันคืนนี้ครับ นี่แหละครับโฮมสเตย์จริงๆ อารมณ์ได้ บรรยากาศให้ ตามเรามาดูห้องนอนกันเลยครับ
เจอสภาพบ้าน สภาพที่นอนแบบนี้สำหรับเราแล้วถือว่าสบายมากครับ เพราะลำบากกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ระหว่างที่เราขนสัมภาระเข้าห้องพักอยู่นั้น แม่ดาก็บอกถึงสิ่งต่างๆที่อยู่ในบ้านไปด้วยครับ
“เวลา 17:00 น.” ได้เวลาไปปั่นจักรยานไปดูพระอาทิตย์ตกและเที่ยวชมรอบๆหมู่บ้านกันครับ แต่เราไม่ได้ไปกันสองคนนะครับ ครั้งนี้เรามีมัคุเทศน์น้อยไปกับเราด้วยครับ
มัคุเทศน์น้อยของเรามีชื่อว่า น้องทาย น้องเป็นเด็กในหมู่บ้านนี่แหละครับ น้องๆที่นี่จะรวมกลุ่มกันเป็นมัคุเทศน์น้อยเพื่อให้ความรู้นักท่องเที่ยวครับสำหรับค่าตอบแทนก็แล้วแต่เราจะให้ครับ เมื่อพร้อมกันแล้วไปปั่นจักรยาน(อีกแล้ว)กันดีกว่าครับ
เราปั่นจักรยานลัดเลาะไปตามหมู่บ้านตามทางไปเรื่อยๆครับ อากาศในวันนั้นค่อนข้างมีเมฆมากต้องลุ้นว่าเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกกันหรือป่าว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้นั่นก็คือคนที่นี่เขาทำสวนผลไม้กันด้วยและที่ผมแปลกใจก็คือสวนที่ทำกันนั้นเป็นสวนทุเรียนกับสวนรองกอง ซึ่งเราคิดว่ามันน่าจะมีเฉพาะที่ภาคตะวันออกและภายใต้ของประเทศเท่านั้น ส่วนทุเรียนในพื้นที่ใกล้ๆที่มีชื่อเสียงและใกล้กับจังหวัดสุโขทัยก็เห็นจะมีแค่ พันธุ์หลงลับแล ของอุตรดิตถ์ แต่น้องทายให้ข้อมูลเราว่าทุเรียนที่นี่เป็นพันธุ์พื้นถิ่นที่ปลูกกันมากนานแล้ว พลางน้องทายก็บอกว่าอีกนิดเดียวก็ใกล้ถึงที่ที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันแล้ว
เจออุปสรรคนิดหน่อยครับ สำหรับตัวผมเองแล้วสบายมากแต่มาดามผมนี่นางกลัวล้มเลยต้องจูง ฮ่าๆ พอพ้นจากตรงนี้ไปเราก็ถึงละครับ เมื่อมาถึงเราได้สัมผัสกับบรรยากาศของท้องทุ่งนา ได้กลิ่นหญ้า กลิ่นโคลน เห็นชาวบ้านกำลังไถพรวนดินเตรียมทำนาแต่เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกเนื่องจากมีเมฆมากจนบดบังพระอาทิตย์จนหมด เราเลยถ่ายภาพตามท้องทุ่งพร้อมกับสัมผัสอากาศอันบริสุทธิ์
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนมีความสุขมากเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นวันครบรอบที่เราคบหาดูใจกันมา 3 ปีแล้ว และทั้งสองภาพนี้เป็นฝีมือการถ่ายของน้องทายครับ เสร็จจากตรงนี้เราก็ปั่นจักรยานเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปยังจุดอื่นๆกันต่อครับ
แวะวัดประจำหมู่บ้านไหว้พระขอพร ขอหวยแม่ตะเคียนดูเผื่อจะมีโชคกับเขาบ้าง ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆแล้วครับ น้องทายรอปั่นจักรยานไปส่งเราที่บ้านครับ ก่อนปิดทริปปั่นจักรยานเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกครับ
ส่วนเราก็กลับไปอาบน้ำเตรียมตัวกินข้าวเย็นที่แม่ดาจัดเตรียมไว้ให้ครับ ก่อนที่จะไปอาบน้ำเราก็ไม่ลืมที่จะออกไปซื้อเครื่องดื่มที่ร้านค้ามาตระเตรียมไว้สำหรับค่ำคืนนี้
แต่ก่อนที่จะเข้าบ้านไปกินข้าวเราปั่นจักรยานเลยไปร้านกาแฟกันครับเพราะว่าผมจะไปหาซื้อโปสการ์ดเพื่อที่จะเขียนส่งไปให้บรรดาเพื่อนๆของผม แต่พอไปถึงที่ร้านกาแฟโปสการ์ดดันเหลือแค่ใบเดียว ดังนั้นความหนักใจเลยมาตกอยู่ที่ผมว่าจะต้องเลือกว่าจะส่งให้ใคร รอลุ้นครับว่าผมจะส่งให้ใคร ถ้าเขาได้รับเขาคงแท็กให้ผมหน้า Facebook มั้งครับ
ไปแล้วก็อดใจที่จะอุดหนุนไม่ได้เลยจัดไปคนละ 1 แก้วแล้วก็นั่งเขียนโปสการ์ดไปด้วยจนเสร็จครับ
“เวลา 18:30 น.” ยังไม่ทันที่จะได้อาบน้ำแม่ดาที่เรียกกินข้าวก่อนเลยครับ สำหรับอาหารมื้อเย็นนี้แม่ดาทำกับข้าวไว้ให้เราเยอะมากครับ ชนิดที่ว่าเราสองคนคงกินไม่หมดแน่ๆ แต่ก็จะพยายามกินให้ได้เยอะที่สุดครับ
ลองดูเอาก็แล้วกันครับว่ามันเยอะแค่ไหน เตรียมกับข้าวให้ยังไม่พอนะครับแม่ดาแกยังเตรียมเครื่องดื่มไว้ให้เราด้วยนะครับนั่นก็คือ สรถ.(สุราเถื่อน)
จัดให้สักหน่อยเพื่ออรรถรสของการสนทนาในค่ำคืนนี้ ระหว่างอาหารมื้อค่ำวันนี้ของเรา เราก็นั่งคุยกันสอบถามประวัติความเป็นมาต่างๆรวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณรอบๆ วิถีชีวิตของคนที่นี่ ซึ่งแม่ดาก็ให้ข้อมูลเราได้เป็นอย่างดี นั่งคุยกันไปสักพักก็เริ่มที่จะง่วงนอนแล้วเพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นไปบนยอดดอยที่ท้ายหมู่บ้าน
“เวลา 22:30 น.” หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็เตรียมตัวเขานอนพร้อมตั้งนาฬิกาปลุกด้วย พรุ่งนี้รถจะมารับเราที่หน้าบ้านแม่ดาตอนตี 4 ครึ่งครับ ฝันดีครับเพื่อนๆทุกคนเจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ
“วันที่ 12 มิถุนายน 2560 เวลา 04:15 น.” นาฬิกาปลุกส่งเสียงเตือนเป็นสัณญาณบอกว่าเราต้องตื่นแล้ว เราตื่นล้างหน้าแปรงฟันเตรียมข้าวของที่จำเป็นเอาขึ้นไปด้วย ส่วนแม่ดาก็ตื่นมาเตรียมขนมปัง กาแฟ โอวัลติน เอาไว้ให้เราไปดื่มข้างบนดอย คิดภาพตามเอาก็แล้วกันนะครับนั่งจิบกาแฟ โอวัลติน ไปนั่งชมทะเลหมอกไปมันจะช่างเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆเลยใช่มั้ยครับ หลังจากเตรียมข้าวของเสร็จนั่งรอไม่ทันไรรถก็มารับเราตามเวลาที่นัดหมายกันไว้
ลุงคนขับรถบอกเราอยากนั่งตรงไหนเลือกเอาเลย เราเลือกที่จะนั่งด้านหลังกระบะกันไปครับ ได้เวลาออกไปดูทะเลหมอกกันแล้วตามเราไปดูด้วยกันครับ
ลุงขับรถพาเราลัดเลาะไปตามสวนผลไม้ของชาวบ้านเข้าไปเรื่อยๆ ไกลจากบ้านแม่ดาประมาณ 2-3 กิโลเมตร ระหว่างทางก็มืด
ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนนั่งข้างหลังกระบะกันไปนี่เกาะกันแน่นเลยครับ
“เวลา 05:00 น.” เราก็เดินทางมาถึงเชิงดอยกันแล้วครับจากนี้ไปเราต้องเดินเท้าขึ้นดอยกันอีกประมาณ 1 กิโลเมตรเห็นจะได้ ถ้าใครมีโอกาสได้มาที่นี่ตอนเดินขึ้นนี่เราแนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบจะคล่องตัวมากกว่า ส่วนเราสองคนพลาดไม่มีรองเท้าผ้าใบเลยขึ้นลำบากนิดหน่อย ทางเดินขึ้นยอดดอยก็จะชันตามระดับครับ ระหว่างทางเดินจะมีจุดพักทั้งหมด 5 จุดสำหรับเช้าวันนี้กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่เดินขึ้นยอดดอยกัน อ่อๆผมลืมบอกไปอย่างหนึ่งครับ ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นดอยกันนั้นเนื่องจากเรามากันแต่เช้าตรู่ดังนั้นทางขึ้นค่อนข้างมืดควรมีไฟฉายติดมือไปด้วยก็จะดีมากครับ
“เวลา 05:30 น.” และแล้วเราก็พิชิตยอดดอยสำเร็จจนได้ ทำเอาเราสองคนเหงื่อแตกเต็มตัวเลย
ชื่อยอดดอยที่เราเดินขึ้นมากันนั้นชื่อก็ตามภาพเลยครับ หลังจากขึ้นมาถึงด้านบนและได้สัมผัสบรรยากาศประกอบกับวิวทิวทัศน์ที่เราได้เห็นกันแล้วมันทำให้ความเหนื่อยของเราหายเป็นปิดทิ้งเลย
ด้านบนเราสามารถชมวิวได้ทั้งหมดสองด้าน สำหรับภาพนี้เป็นวิวที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก พระอาทิตย์จะขึ้นด้านนี้
ส่วนภาพนี้เป็นวิวทางด้านทิศตะวันตกครับจะเห็นว่ายังสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้อยู่เลยแต่คงอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะมาไล่ไป สำหรับเช้าวันนี้นอกจากกลุ่มเราแล้วก็จะมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มซึ่งมีทั้งหมด 3 คนเหมือนกับกลุ่มเราที่ขึ้นมายังบนยอดดอยนี่แหละครับ ดีเลยจะได้ไม่เหงาจนเกินไป ลุงคนขับรถปลีกตัวไปก่อไฟต้มน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟ โอวัลติน ใส่กระบอกไม้ไผ่ให้เรา
ไม่นานเราก็ได้จิบกาแฟ โอวัลติน ชมทะเลหมอกตามที่เราตั้งใจเอาไว้มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สุดยอดมากเลย เราจิบกาแฟ โอวัลติน แต่พี่ที่มากลับอีกกลุ่มหนึ่งจัดมาม่าในกระบอกไม้ไผ่เลย
ส่งกลิ่นหอมไปทั่วถือว่าเป็นการใช้ชีวิตตามวิถีชาวบ้านและอยู่กับธรรมชาติได้อย่างลงตัว(ชาวบ้านตัดไม้ไผ่เฉพาะที่จะนำมาใช้เท่านั้นนะครับ) ส่วนเราอยู่แต่ในเมืองจนเบื่อพอมาเจอแบบนี้แทบจะไม่อยากกลับไปทำงานเลย
เรานั่งชื่นชมธรรมชาติพร้อมกับเก็บภาพแห่งความประทับใจผ่านเลนส์ไปให้มากที่สุด
“เวลา 06:12 น.” พระอาทิตย์ตื่นแล้วเริ่มส่องแสงผ่านก้อนเมฆให้เราได้เห็นกันแล้วครับ
และแล้วพระอาทิตย์ก็ปรากฏให้เราได้เห็นพร้อมกับปล่อยแสงอันอบอุ่นให้เราได้สัมผัส
เป็นยังไงบ้างครับสำหรับบรรยากาศด้านบน “ห้วยต้นไฮ” หวังว่าคงจะถูกใจหลายๆคนและทำให้ทุกคนอยากมาเท่ยวที่นี่กันบ้างนะ แต่สำหรับตัวผมเองได้ตกหลุมรักที่นี่เข้าให้แล้ว โอ้ย…..ไม่อยากกลับ….!!!!
“เวลา 07:45 น.” แดดเริ่มแรงขึ้นเราจึงชวนลุงคนขับรถกลับไปยังด้านล่างและเดินทางกลับไปที่บ้านแม่ดา ไปครับ….ได้เวลาเหนื่อยกันอีกครั้งแล้วครับ
ผมต่อให้ก่อนเลย ตอนลงทางค่อนข้างชันนะครับแนะนำให้จับราวไม้ไผ่ไปด้วยจะได้ไม่ลื่นเดี๋ยวจะตกเขาซะ แต่ตอนลงนี้เหนื่อยน้อยกว่าตอนขึ้น ตามแรงโน้มถ่วงของโลก เดินลงไปเรื่อยๆ ลุงคนขับรถก็บอกเราว่าครึ่งทางแล้ว
เอ้า……ตีกระบอกไม้ไผ่ส่งเสียงให้สัญญาณพวกที่อยู่ด้านบนสักหน่อย เราใช้เวลาเดินลงประมาณ 10-15 นาทีเราก็เดินมาถึงด้านล่างกันแล้ว ลุงคนขับรถพาเราเดินผ่านสวนทุเรียนของชาวบ้าน
ทุเรียนพันธุ์หลงลับแล กำลังออกลูกเต็มไปทั้งสวนเห็นแล้วอยากซื้อกลับไปเป็นของฝากจริงๆเลย แต่เป็นที่น่าเสียดายมากๆ เพราะเราสองคนไม่ค่อยชอบทุเรียนสักเท่าไหร่ อีกทั้งราคาเอาเรื่องน่าดู ฮ่าๆ
“เวลา 08:15 น.” เราเดินทางกลับมาถึงบ้านแม่ดา พอลงรถเท่านั้นแหละเรารีบเดินเข้าบ้านจนเกือบลืมจ่ายค่ารถกันเลยทีเดียว ค่ารถทริปขึ้นดอย 2 คนอยู่ที่ราคา 450 บาท ผมไม่แน่ใจว่าคิดราคาเหมาทั้งคันหรือราคาต่อคน แต่คนดูจากราคาแล้วน่าจะเหมาเป็นคันมากกว่า
“เวลา 08:30 น.” แม่ดาพาเราไปกินข้าวเช้ากันที่ “ร้านข้าวเปิ๊บยายเครื่อง” ซึ่งเป็นร้านต้นตำหรับของที่นี่เลยนะครับ มาถึงก็ไม่รอช้ารีบสั่งกันเลย
และนี่ก็คืออาหารเช้าของเราในวันนี้ น่ากินมั้ยละ ต้องขอบอกเลยนะครับว่า ข้าวเปิ๊บร้านยายเครื่อง นี่สุดยอดจริงๆ เอาไปเลย 10 คะแนนเต็ม แม่ดาบอกว่าถ้าเป็นช่วงวันหยุดที่นี่คนจะเยอะมากๆ เรานี่ถึงกับอยากซื้อกลับเอามากินที่กรุงเทพฯเลย มื้อนี่แม่ดาเป็นคนเลี้ยงเราถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณนักท่องเที่ยวครับ เมื่อกินอาหารเช้าที่ร้านยายเครื่องกันเสร็จแล้ว แม่ดาก็พาเราไปดูขั้นตอนการทำผ้าหมักโคลนกันต่อ
“เวลา 09:00 น.” เราเดินทางมาถึงร้านค้าชุมชนที่ที่แม่ดานัดเจอเราเมื่อวานตอนที่มาถึงที่นี่ และแม่ดาก็พาเราเดินเที่ยวชมบริเวณร้านค้าชุมชนซึ่งที่ด้านหลังจัดไว้เป็นที่ทำผ้าหมักโคลน
และนี่ก็เป็นเส้นฝ้ายที่ได้ทำการย้อมสีด้วยวิธีธรรมชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สีที่ได้จากธรรมชาติส่วนใหญ่ก็ได้มาจากวัสดุทางธรรมชาติพวกนี้แหละครับ นำใบพวกนี้ไปบดขยี้ใส่โอ่งที่มีน้ำอยู่แช่ไว้สักพักให้สีออกจากนั้นก็นำเส้นฝ้ายลงไปย้อมไปเรื่อยๆจนสีติดกับเส้นฝ้ายแล้วนำไปตาก พอตากเส้นก็นำมาย้อมสีอีกครั้ง จากนั้นค่อยนำไปต้มอีกรอบ
พอต้มเสร็จแล้วนำไปตากให้แห้งแล้วนำไปทอได้ แต่วันที่เราไปนั้นคนที่ทอผ้าเขาหยุดเราเลยไม่ได้เห็น จากนั้นเราจึงเดินไปดูขั้นตอนสุดท้ายในการทำผ้าหมักโคลนคือการรีดผ้า
ผมนี่พอเห็นป้าสองคนนี่รีดผ้าแล้วถึงกับคันไม้คันมือกันเลยทีเดียว ไม่ใช่อะไรหรอกครับอยู่ที่บ้านมาดามผมใช้ผมรีดผ้าบ่อย บ่อย เสียจนกลายเป็นหน้าที่หลักของผมไปแล้ว ฮ่าๆ ว่าแล้วก็โชว์ฝีมือสักหน่อย
เรียบชนิดที่ว่าได้รับคำชมเลยนะ แต่ผมก็รีดยังไม่ทันที่จะเสร็จก็ต้องขอตัวกลับกันก่อน เพราะวันนี้เราต้องเดินทางกันต่อ
“เวลา 10:00 น.” ได้เวลากล่าวคำร่ำลากับแม่ดาแล้ว ขอบคุณสำหรับการตอนรับที่แสนอบอุ่น อาหารที่แสนอร่อย ความเป็นกันเองที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ มีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมเยียนอีกครั้งอย่างแน่นอน เราขับรถออกจากหมู่บ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” กันต่อ ระยะทางประมาณ 40-45 กิโลเมตร ทิ้งทายการบอกลาชุมชนแห่งนี้ด้วยคำขวัญของที่นี่ครับ
“เวลา 10:54 น.” เราก็เดินทางมาถึง “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” จอดรถมุ่งหน้าไปเช่าจักรยานปั่นเที่ยวชมรอบๆอุทยานฯ
ค่าตั๋วคนละ 20 บาท , ค่าเช่าจักรยานคนละ 30 บาท ตามเราเข้ามาชมด้านในกันดีกว่าครับ
สำหรับ “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” นั้นก็จะมีวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมกันประมาณ 3-4 วัดดังนี้ครับ
วัดแรกคือ “วัดนางพญา” วัดนี้เป็นวัดแรกที่เราแวะชมเพราะอยู่ใกล้ประตูเมืองมากที่สุดและวัดนี้ก็ยังมีลวดลายปูนปั้นที่ผนังของวิหารหลงเหลือให้เราได้เห็นอยู่
เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วหากเราสังเกตุเวลาไปเที่ยวตามโบราณสถานไม่ว่าจะเป็น สุโขทัยหรืออยุธยา จะไม่ค่อยเห็นผนังของโบสถ์หรือวิหารหลงเหลือให้เราได้เห็นและวัดนางพญาเป็นเพียงวัดเดียวที่ยังมีให้เราได้เห็นครับ
วัดที่สองเป็น “วัดเจดีย์เจ็ดแถว” วัดนี้ลายล้อมไปด้วยเจดีย์เป็นจำนวนมากและมีเจดีย์องค์หนึ่งที่มีลักษณะเด่นที่สุดคือ “เจดีย์ทรงปราสาท” ชื่อกันว่าวัดนี้เป็นวัดวัดหนึ่งที่มีความงดงามมากเมื่อไหนอดีต
วัดที่สามคือ “วัดช้างล้อม” วัดช้างล้อม เป็นโบราณสถานสำคัญมีเจดีย์ทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช้างปูนปั้นเต็มตัวล้อมรอบ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน รวม 39 เชือก หมายถึง โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ซึ่งเป็นธรรมอันเป็นเครื่องหมายการตรัสรู้
วัดสุดท้ายคือ “วัดสุวรรณคีรี” วัดนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาที่อยู่ด้านหลังของ วัดช้างล้อม และต้องเดินขึ้นบันได
วัดนี้มีบันไดจากพื้นราบจนถึงด้านบนสุดจำนวนทั้งหมด 144 ขั้น เมื่อเที่ยวชมกันจนเสร็จสิ้นเราก็นำจักรยานไปคืนและเตรียมตัวเดินทางกลับกันครับ
“เวลา 11:45 น.” เราขับรถเดินทางออกจากอุทยานฯ ก่อนกลับเราแวะไปเที่ยวชมอีกหนึ่งวัดที่อยู่อีกฝั่งของอุทยานฯติดริมแม่น้ำยมนั่นก็คือ “วัดพระปรางค์”
วัดนี้เราแวะถ่ายรูปแค่แป๊บเดียว จากนั้นเราก็เดินทางออกจากอุทยานฯ
ทริปนี้เดิมที่เราวางแผนไว้ว่าคืนแรกนอนที่โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น ส่วนคืนที่สองไปนอนกันที่อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก แต่ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้เราตัดสินใจเดินทางกลับวันนี้เลยจะได้มีเวลาพักผ่อนมากๆ เพื่อจะได้มีแรงลุยงานต่อ แต่เราไม่ได้กลับกรุงเทพฯนะ เราเลือกที่จะแวะนอนกันที่จังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมก่อนอีก 2 คืนก่อนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ
“วันที่ 12 มิถุนายน 2560” ช่วงเย็นเราเดินทางมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรีและนัดพบปะสังสรรค์กับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายอันเป็นเรื่องปกติที่ผมได้เดินทางกลับทุกครั้ง
“วันที่ 13 มิถุนายน 2560” เดิมทีจะกลับกรุงเทพฯวันนี้แต่บรรดาน้องๆผมไม่อยากให้กลับ เราจึงตัดสินใจนอนต่ออีก 1 คืน และช่วงกลางวันเราก็ได้ไปเที่ยวจังหวัดอุทัยธานีที่วัดถ้ำเขาวง หลังจากนั้นกลับมาพักผ่อนที่บ้าน
“วันที่ 14 มิถุนายน 2560” เดินทางจากสุพรรณบุรีเข้าสู่กรุงเทพฯ ถือว่าเป็นการปิดทริปได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ แล้วพบกันใหม่ !!!
“ทุกครั้งที่เราได้ออกเดินเรามักจะหาจังหวัดที่เรายังไม่เคยไปแต่ถึงจะเคยไปแล้วเราก็จะหาสถานที่ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการเดินทางให้กับตัวเราและสิ่งที่เราชอบคือวิถีชนบทและธรรมชาติ สิ่งที่เราหวังจากการท่องเที่ยวของเราในแต่ละครั้งคือกระตุ้นอยากให้คนได้เที่ยว ทำให้คนทั่วไปได้รู้ว่าบ้านเรามีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายรอให้เราไปสัมผัส”
สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเตรียมในการไปในทริป
รูปภาพส่งท้ายของทริปนี้
สุดท้ายของบันทึกการเดินทางครั้งนี้หวังว่าผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่านคงได้รับความสนุกและเพลินกับการเขียนบันทึกของผมในครั้งและเป็นประโยชน์ต่อผู้รักการเดินทางทั้งหลายนะครับ
——******——-สวัสดีครับ——******——