logo
image

icon-travel-2 ไผ่ลู่ลม พาคุณชมแหล่งท่องเที่ยวสี่เมืองใหญ่ในพม่า 5 วัน 4 คืน

ไผ่ลู่ลม พาคุณชมแหล่งท่องเที่ยวสี่เมืองใหญ่ในพม่า 5 วัน 4 คืน

พฤศจิกายน 28, 2018
แชร์ :

20 กรกฎาคม 2556 เริ่มต้นการเดินทางด้วยไฟลท์บินเช้ามาก ทำให้เราต้องมาถึงสนามบินกันตั้งแต่ ตี 4 ครึ่งกันทีเดียว เช็คอินโหลดกระเป๋าเสร็จ ได้เวลา 06.15 น. พร้อมออกเดินทางกันแต่เช้าไปยังเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ด้วยสายการบิน Myanmar Airways เที่ยวบิน 8M336 ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงเราก็มาถึง พม่ากันแล้วค่ะ หลังผ่านขั้นตอนพิธีการต่างๆ เราก็เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองย่างกุ้งกันเลย เมืองย่างกุ้งมีสถานที่น่าสนใจมากมาย แต่สำหรับโปรแกรมของเรานั้นมีเวลาไม่มากนักในเมืองย่างกุ้งนี้ เราจึงนำท่านเชี่ยวชมได้ไม่มาก โดยวันนี้เราจะนำท่านเที่ยวชม พระหินอ่อน ซึ่งพระหินอ่อนนี้ สร้างจากหินอ่อนเพียงชิ้นเดียวที่มีลักษณะมันวาว สีขาวสะอาดและไม่มีตำหนิ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่ บริเวณด้านหลังพระพุทธรูปด้วยค่ะ

พระหินอ่อน พระพุทธรูปประทับนั่ง

ตามมาด้วยปางช้างเผือก ซึ่งตั้งอยู่เยื้องๆ กัน ซึ่งช้างเผือกนั้นตรงตามลักษณะของคชลักษณ์ของช้างเผือกซึ่งมีด้วยกัน 5 ประการ คือ งาอุ้มบาตร ผิวเปลือกมะนาว เล็บขาว หลังโค้งเหมือนคันธนูซึ่งจะมีน้อยกว่าของไทยที่กำหนดให้มีคชลักษณ์ 7 ประการ ตาขาวเพดานปากขาว เล็บขาว ขนขาว พื้นหนังขาวหรือออกแดเหมือนหม้อใหม่ขนหางขาว อัณฑะโกสขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่

ปางช้างเผือก

พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตยี หรือ พระตาหวาน (KYAUK HTAT GYI) พุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และ ขนตาที่งดงาม โดยเฉพาะรวมไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ ทางเข้า มีของขายมากมายเช่น แป้งทานาคา หรือของพื้นเมืองอื่นๆ

พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตยี หรือ พระตาหวาน (KYAUK HTAT GYI) เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า

บริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ

เดินทางกันต่อมายัง เจดีย์โบดาทาวน์ หรือ เจดีย์โบตาทอง เป็นเจดีย์ที่สร้างโดยทหารพันนายเพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่พระสงฆ์อินเดียจำนวน 8 รูป นำมาเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน โดยพระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์เมืองมอญทรงบัญชาให้ทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศธาตุ ที่นายวาณิช สองพี่น้องได้อัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบดาทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก และได้นำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด

เจดีย์โบดาทาวน์

ด้านซ้ายมือของเจดีย์ มีนัตโบโบยี หรือคนไทยเรียกว่า เทพทันใจ ให้นักท่องเที่ยวมาสักการะ ขอพร ซึ่งเชื่อกันว่า ขอพรได้เพียงข้อเดียว เท่านั้น ซึ่งของที่นิยมนำมาถวายก็คือ ดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆ มาสักการะ เทพทันใจ จะชอบ วิธีการขอพร ก็ให้เอาเงินใส่ในมือของเทพทันใจ 2 ใบ แล้วไหว้ขอพรจากนั้นให้ดึงกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้เป็นขวัญกระเป๋า แล้วก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของเทพทันใจ แค่นี้ก็จะสมตามความปราถนาตามที่ขอไว้แล้วค่ะ

เทพทันใจ

สำหรับด้านขวามือของเจดีย์ จะมี พระพุทธรูปทองคำสำริด ประดิษฐานในวิหารด้านขวา ซึ่งเป็นพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ตามประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ ครั้นเมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์ ต่อมาในปี 2488 พระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ต

พระพุทธรูปทองคำสำริด

เสร็จจากเจดีย์โบดาทาวน์แล้ว เดินออกมาด้านนอก ฝั่งตรงข้ามจะเป็นที่ตั้งของ เทพกระซิบ หรือ เมี๊ยะนานหน่วย เล่าต่อกันมาว่า นางเป็นธิดาของพญานาค นางศรัทธาในพุทธศาสนาและรักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนสิ้นชีวิตไป และได้กลายเป็นนัต ซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้และนับถือกันมานานแล้ว การบูชาเทพกระซิบ บูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้ และกระซิบบอกเพื่อขอพร เทพกระซิบ หรือ เมี๊ยะนานหน่วยนั้นเป็นเทพผู้ประทานพรแห่งความโชคดี แต่สำหรับเทพกระซิบนั้น ขอพรได้หลายข้อนะค๊า

เทพกระซิบ หรือ เมี๊ยะนานหน่วย

หิวๆๆๆ ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วจ้า มื้อนี้ อิ่มอร่อยกับเมนู เป็ดปักกิ่ง สลัดกุ้งมังกร ที่ภัตตาคาร Western Park

อิ่มแล้ว เดินทางต่อกันเลยค่ะ ได้เวลาช็อปปิ้งกันแล้วจ้า ที่ตลาดสก๊อต เป็นตลาดสินค้าพื้นเมืองนานาชนิด รวมถึงเป็นตลาดขายหยกที่เกรดดีมากๆๆ อีกด้วยค่ะ

เพลิดเพลินกับการเดินช็อปปิ้ง ที่ตลาดสก็อต และเลือกซื้อหยกมีคุณภาพ

จากตลาดสก็อตไปช็อปกันต่อที่ห้าง OCEAN SUPERCENTER เป็นห้างที่ไม่ใหญ่นักหากจะเทียบกับบ้านเราแล้วอาจจะเท่ากับโลตัสเท่านั้นค่ะ

Next Station สถานีถัดไป มหาเจดีย์ชเวดากองจ้า เดินทางมาถึงที่นี่ด้วยสายฝนที่ตกพรำๆๆ แต่เราก็บ่ยั่นค๊า เตรียมพร้อมมาแล้ว ด้วยร่มกันฝนนั่นเอง สำหรับเจดีย์ชเวดากองนี้ เป็น 1 ใน 5 มหาสถานบูชาที่สำคัญของพม่า เจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของพม่า เชื่อว่า เจดีย์แห่งนี้บรรจุพระเกศาทั้งแปดเส้นของพระพุทธเจ้า ปลายยอดของเจดีย์มีเพชรเม็ดใหญ่ ซึ่งในเวลากลางคืนสามารถมองเห็นเพชรเม็ดนี้เปลี่ยนสีได้ สวยงามมากเลยทีเดียว ทางเข้าเจดีย์ชเวดากอง มี 4 ทิศ ทิศที่ผู้คนนิยมมาก จะเป็นทิศใต้ จะมีสิงห์คู่อยู่ตรงทางเข้า นอกจากนี้ท่านยังสามารถไหว้พระประจำวันเกิดได้ โดยสัตว์ประจำวันเกิดของพม่า คือ วันอาทิตย์ ครุฑ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเจดีย์ วันจันทร์ที เสือ อยู่ทางทิศตะวันออก วันอังคาร สิงห์ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ วันพุธ (เช้า) ช้างงา อยู่ทางทิศใต้ วันพุธ (กลางคืน) ช้างไม่มีงา อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ วันพฤหัสบดี หนู อยู่ทางทิศตะวันตก วันศุกร์ หนูตะเภา อยู่ทางทิศเหนือ วันเสาร์ พญานาค อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ เจดีย์ชเวดากองยังเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของท่านที่เกิดปีมะเมียด้วยค่ะ

มหาเจดีย์ชเวดากอง

‎เราใช้เวลาที่เจดีย์ชเวดากองนี่ เกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว รู้ตัวอีกทีฟ้ามืดแล้วค่ะ เริ่มหิวแล้วสิคะ ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี มื้อนี้ อิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์นานาชาติพร้อมชมโชว์ ทั้งสวยงามและตื่นตา ที่ภัตตาคาร Kandawgyi Palace

บุฟเฟ่ต์นานาชาติ พร้อมชมโชว์ ณ Kandawgyi Palace

21 กรกฎาคม 2556 Good Morning ค่ะ ทุกคน ได้เวลาเดินทางต่อไปยังพุกาม ด้วยเที่ยวบินที่เช้ามากอีกวันนึง สายการบิน AIR KBZ ไฟลท์บิน K7 222 เวลา 06.30 น. ใช้เวลา เดินทางไม่นานนักประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ เองค่ะ

ถึงพุกามแล้วจ้า เช้าแบบนี้ เราไปเดินตลาดเช้ากันก่อนเลยค่ะ ตลาดเช้าที่นี่ก็เหมือนตลาดเช้าบ้านเราเลยค่ะ ขายของสด ผัก เนื้อสัตว์ สำหรับบางท่านที่ยังง่วงๆๆ ก็มีน้ำชา กาแฟ ขายด้วยนะค่ะ

บรรยากาศตลาดเช้าที่ พุกาม

เริ่มต้นที่แรกของวันนี้กันที่ “พระเจดีย์ชเวสิกอง”(Shwezigon pagoda) แห่ง พุกาม ปัจจุบันมีความสูงราว 53 เมตร หรือ 160 ฟุต มีลวดลายปูนปั้นอยู่3 แถว และมีเจดีย์เล็ก ๆ เป็นบริวารอยู่รายรอบ เจดีย์ชเวสิกองสร้างโดยพระเจ้าอโนรธาเมื่อคราวที่รบชนะมอญพระเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำศิลปะแบบมอญก่อนที่จะมีศิลปะแบบ พุกาม แท้ๆ เกิดขึ้น เชื่อกันว่าภายในบรรจุพระสารีริกาธาตุ ของพระพุทธเจ้า “ชเว” แปลว่า ทอง “สิกอง” แปลว่า พื้นทรายที่ว่าเป็น “พื้นทราย” เพราะว่า พุกามตั้งอยู่เขตพื้นที่แห้งแล้ง ตอนกลางของพม่าทั้งๆ ที่มีแม่น้ำอิระวดีที่ใหญ่กว่าเจ้าพระยาหลายเท่าแต่ที่ดินแถบนี้ก็แห้งแล้งเกินกว่าจะทำการ เพาะปลูกได้

ร้านขายของพื้นเมือง หน้าทางเข้าเจดีย์ชเวสิกอง

สถานที่ต่อมา “เจดีย์ทีโลมินโล” ใช้เวลาเดินทางจากเจดีย์ชเวสิกอง ไม่ถึง 5 นาทีค่ะ ใกล้มากๆๆ ซึ่งเจดีย์ทีโลมินโล สร้างในรัชสมัยของ “พระเจ้านรปตีซีตู” ซึ่งพระองค์มีพระมเหสี และพระชายารวมทั้งสิ้น 5 พระองค์ แต่ละพระองค์ล้วนมีพระโอรส 1 พระองค์ทั้งนั้น เมื่อถึงคราวแต่งตั้งรัชทายาทเพื่อสืบบัลลังก์ กษัตริย์ไม่สามารถแต่งตั้งบุตรของพระมเหสีเพื่อขึ้นครองราชย์ได้ในทันที เพราะเคยได้รับปากกับพระชายาพระองค์หนึ่งไว้ ในขณะที่พระองค์กำลังประชวร และพระชายาพระองค์นี้คอยดูแล ว่า จะพิจารณาบุตรของพระชายาองค์นี้ก่อน เมื่อพระองค์ต้องทำตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ พระองค์จึงได้ตัดสินพระทัยเรียกพระโอรสทั้ง 5 พระองค์มา โดยให้ฉัตรตั้งตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วเอนเอียงปลายฉัตรไปยังพระโอรสองค์ใด ก็จะแต่งตั้งพระองค์นั้นเป็นกษัตริย์ ปรากฏว่า ฉัตรได้เอนเอียงแล้วปลายฉัตรชี้ไปทางพระโอรส ชัยสิงห์ ซึ่งเป็นพระโอรสที่เกิดจากพระชายาที่คอยดูแลเมื่อพระองค์ป่วยนั่นเอง ชาวพม่าจึงเรียกฉายาว่า “กษัตริย์ฉัตรตั้ง” และเมื่อพระโอรสได้ทรงขึ้นครองราชย์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทาย เรียกกันว่า “เจดีย์ทีโลมินโล”

จากเจดีย์ทีโลมินโล ประมาณ 5 นาที ก็ถึงวัดอนันดา หรืออานันทวิหาร วัดอนันดานี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ดงาม แห่งสถาปัตย์พุกาม ตัววิหารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสที่ใหญ่โตสง่างาม มีมุขยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน ภายในวิหารมีพระพุทธรูปยืนที่เกาะสลักด้วยไม้สัก ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ ผลงานฝีมือของช่างพม่าชั้นสูงที่ทำช่องให้แสงส่องเฉพาะองค์พระพุทธรูปซึ่ง พระพักตร์ขององค์พระนั้นมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา สร้างความน่าเลื่อมใสแก่ผู้ไปสักการะ

วัดอนันดา

เดินทางต่อกันค่ะ 5 นาทีจากวัดอนันดาไป เจดีย์สรรพพัญญู (THATBYINYU) เป็นวิหารสูงที่สุดในพุกามทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความสูง 201 ฟุต เป็นวัดประจำรัชกาลพระเจ้าอลองสินธุสร้างเลียนแบบวัดในประเทศอินเดีย สูงห้าชั้นโดยชั้นที่สี่เป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับต้นแบบและชั้นที่ห้าเป็นองค์พระสถูปอันศักดิ์สิทธิ์

‎ได้เวลาอาหารกลางวันแล้วค่ะ วันนี้เมนูพื้นเมืองพุกามกันค่ะ ทางเข้าร้านก็สวยงาม มีเจดีย์น้อยๆๆ เต็มไปหมด ณ AMATA BAGAN

หลังอาหารเที่ยงอากาศกำลังร้อนสุดๆๆ เราไปแวะหลบอากาศร้อนๆ กันที่หมู่บ้านเครื่องเขิน ที่นี่มีเครื่องเขินที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งกว่าจะทำออกมาได้แต่ละชิ้น ใช้เวลา 1-3 เดือนเลยทีเดียวค่ะ ยิ่งชิ้นใหญ่ความละเอียดยิ่งมีมาก แต่ก็บอกได้ถึงความประณีตของงานได้ดีทีเดียวค่ะ

หลังอาหารเที่ยงอากาศกำลังร้อนสุดๆๆ เราไปแวะหลบอากาศร้อนๆ กันที่หมู่บ้านเครื่องเขิน ที่นี่มีเครื่องเขินที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งกว่าจะทำออกมาได้แต่ละชิ้น ใช้เวลา 1-3 เดือนเลยทีเดียวค่ะ ยิ่งชิ้นใหญ่ความละเอียดยิ่งมีมาก แต่ก็บอกได้ถึงความประณีตของงานได้ดีทีเดียวค่ะ

วัดมนูหะ (Manuha Temple มนูฮาพยา) หรือที่คนไทยเรียกว่า วัดอึดอัด เป็นวัดที่พระเจ้ามนูหะเป็นผู้สร้าง ซึ่งพระเจ้ามนูหะเป็นกษัตริย์มอญที่พ่ายแพ้แก่พระเจ้าอโนรธา และถูกนำมาที่พุกามพร้อมด้วยมเหสีและพลเมืองมอญ ภายในวัดมีพระพุทธรูป ๓ องค์ ที่สร้างใหญ่เต็มพื้นที่ สะท้อนให้เห็นถึงความอึดอัดพระทัยของพระเจ้ามนูหะที่ต้องถูกจับมาเป็นเชลย ที่พม่า พระองค์สร้างวัดนี้เพื่อหวังพ้นวัฎฎะสงสาร จะได้ไม่ต้องพ่ายแพ้แก่ผู้ใดอีก

ทำบุญ โดยการนำเงินใส่บาตรขนาดใหญ่หน้าวัด มนูหะ

พระพุทธรูปที่สร้างใหญ่จนเต็มพื้นที่ แสดงให้เห็นถึงความอึดอัดพระทัยของพระเจ้ามนูหะ

ได้เวลานั่งรถม้าชมเมืองพุกามแล้วค่ะ ลักษณะของรถม้า จะมี 2 ล้อ พร้อมที่นั่ง เป็นเบาะ นั่งอย่างสบายเลยค่ะ โดยปกติแล้ว สำหรับชาวพม่า จะให้นั่ง 4 – 6 ท่านต่อรถม้า 1 คัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวให้นั่งรถคันละ 2 ท่านนะคะ ต่อด้วยการล่องเรือชมแม่น้ำอิระวดีกันค่ะ ล่องกันท่ามกลางแสงแดดเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เรือ ที่เราใช้ มีหลังคากันแดด กันฝน แต่ไม่กันน้ำกระเด็นใส่นะคะ อิอิ

นั่งรถม้าชมเมืองพุกามกันค่ะ

วัดธรรมยังยี หรือ มหาเจดีย์ธรรมยังยี หรือ แสงสว่างแห่งธรรม ในสมัยของพระเจ้านะระตูพระองค์ก็ได้ชื่อว่าผู้ทรงสร้างวัดที่ใหญ่ที่สุดในพุกาม พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์เองและเกรงว่า ผลกรรมจากการปลงพระชนม์พระบิดาจะติดตามพระองค์ไปในชาติหน้า พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อล้างบาป และได้กล่าวกันว่า พระเจ้านะระตู่ทรงควบคุมดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ถ้าช่างคนไหนวางเรียงศิลาให้มีช่อง เพียงแค่สามารถเอาเข็มสอดเข้าได้แม้สักเล่ม จะทรงสั่งประหารช่างผู้นั้นทันที ลักษณะเจดีย์มีความสวยงามมาก และได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกาม เพราะสร้างขึ้น ด้วยอิฐสีแดงเป็นเอกลักษณ์ วัดนี้คล้ายเจดีย์อนันดา คือ มีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขยื่นออกมาสี่ด้าน แต่พระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์เสียก่อนที่วัดจะสร้างเสร็จ วัดนี้จึงมีอีกสมญานามว่า “เจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ”

เจดีย์ชเวซันดอว์ ที่ทั้งสูงและทางขึ้นแสนจะชันมากมาย เราก็เลยต้อง ปีนป่ายๆๆ ขึ้นมา เพื่อดู ทะเลเจดีย์พุกาม ยิ่งขึ้นมาสูงเท่าไหร่ ยิ่งมองเห็นความสวยงามแปลกตาได้อย่างชัดเจน เจดีย์ ชเวซันดอว์ มี 5 ชั้นให้เราได้แวะดู สำหรับบางท่านที่ไม่อยากขึ้นไปสูงนัก อาจจะแวะที่ชั้นใดชั้นหนึ่งก็ได้ค่ะ

Dinner ค่ะ มื้อนี้ก็เป็นอาหารพื้นเมืองพุกาม นะคะ พร้อมทั้งชมโชว์หุ่นกระบอกด้วยค่ะ ณ ภัตตาคาร NANDA

22 กรกฎาคม 2556

Good Morning ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ พร้อมเตรียมตัวออกเดินทางต่อกันค่ะ วันนี้เราจะเดินทางไปยังเมืองมัณฑะเลย์ เมืองที่เคยเป็นราชธานีของพม่าในอดีต ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเอง โดย สายการบิน AIR KANBAWZA ไฟลท์บิน K7 222 เวลา 08.05 – 08.40 น.

บุฟเฟ่ต์มื้อเช้าที่โรงแรม

รอขึ้นเครื่องไปมัณฑะเลย์และขึ้นเครื่องไป มัณฑะเลย์กันค่ะ

เดินทางถึง มัณฑะเลย์ แล้วจ้า ดูเงียบเหงาไปสักนิด ค่ะ

จากสนามบิน ไปสะพานไม้อู่เป็ง ใช้เวลาประมาณ 45 นาที สะพานไม้อู่เป็ง เป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความยาวถึง 2 กิโลเมตร ซึ่งไม้สักที่นำมาสร้าง เป็นไม้สักที่รื้อจากพระราชวังเก่า ที่เมืองอังวะ จำนวนถึง 1208 ต้น บนสะพาน จะมีศาลา ให้แม่ค้าแม่ขาย ได้ขายของ ของที่ขายก็มีตั้งแต่ ของกินจนถึงของที่ระลึกจำพวกกุญแจ โดยเฉพาะพวงกุญแจที่ทำมาจากเมล็ดแตงโม เป็นสัตว์บ้าง ผลไม้บ้าง ดูแล้วน่ารักเชียวค่ะ

ทางเข้าสะพานไม้อู่เป็ง คนเยอะมาก รวมถึงมีร้านขายของมากมาย เช่น ผลไม้ เสื้อผ้ารูปแบบต่างๆ

สะพานไม้อู่เป็งและร้านอาหารใต้สะพานอู่เป็ง วันนี้มีน้ำขึ้น แต่ลูกค้าก็ยังเข้าร้านตามปกตินะคะ ดูแล้วก็แปลกๆๆ ดีค่ะ

นอกจากนี้ก็จะมี วัดมหากันดายงค์ ที่เรียกได้ว่าเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า มีพระภิกษุ และสามเณรมาเรียนทางธรรมมากกว่าพันรูปนอกจากนี้ยังมีพระภิกษุจาก ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ มาบวชเรียนด้วย วิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษาพระธรรมและรักษาพระธรรมวินัยมากที่สุด ทำให้มีชาวพม่าจำนวนมากส่งบุตรหลานมาศึกษาพุทธศาสนากันที่นี่ และทำให้มีผู้มีจิตศรัทธาจองคิวกันนำภัตตาหารมาถวายพระทั้งพันกว่ารูปทุกวัน ทำให้วิทยาลัยสงฆ์นี้ยังคงอยู่ได้แม้จะได้รับงบประมาณจากรัฐบาลพม่าไม่มากนัก

พระสามเณรและพระภิกษุสงฆ์ รอรับบิณฑบาต ณ วัดมหากันดายงค์ สำหรับสามเณรนั้น ส่วนมากแล้ว สิ่งที่นำมาทำบุญนั้นมักจะเป็นอุปกรณ์เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ

ที่มัณฑะเลย์จะมีโรงงานทอผ้า ลักษณะคล้ายๆ ผ้าไหมของบ้านเราเลยค่ะ จะมีโรงงานตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านจำหน่าย เราจึงมีโอกาสได้ดูการทอผ้าด้วย ที่นี่จะใช้วิธีทอผ้าด้วยมือค่ะ พิถีพิถันมากทีเดียว และมีลวดลายให้เลือกเยอะมากๆๆ นอกจากนั้นแล้วยังมีผ้าสำเร็จรูป เช่น ชุด เสื้อ หรือแม้แต่ ผ้าที่วางขายเป็นผืน สำหรับท่านที่ต้องการซื้อเพื่อไปตัดเย็บเอง ก็มีวางขายเช่นกันค่ะ

ดูวิธีการทอผ้ากัน และเลือกชม เลือกซื้อ ทั้งผ้าสำเร็จรูป และผ้าทอขายเป็นผืนๆ กันค่ะ

จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง วัดพระมหามัยมุนี ซึ่ง พระมหามัยมุนี เป็นหนึ่งใน 5 ศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า “ผู้รู้อันประเสริฐ” ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ เล่ากันว่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน ก่อนสร้าง กษัตริย์ผู้สร้าง ฝันว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาให้พรให้พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า ในอดีตแม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งถึงรัชสมัย พระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ ในปี พ.ศ. 2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑเลย์ได้สำเร็จ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา และเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับพร (บางตำนานก็เล่าว่า ได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมีพิธีล้างพระพักตร์ถวายทุกเช้า เวลาประมาณ ตี 4 พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอม ผสมทานาคาอย่างดีพร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่จริงๆ องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่นๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า “พระเนื้อนิ่ม” แต่น่าแปลกที่ว่า แม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์ พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระเลยแม้แต่น้อย

วัดพระมหามัยมุนี

มื้อเที่ยงวันนี้ เราทานอาหารที่ร้านอาหารไทย มีชื่อว่า ร้าน ต้มยำกุ้ง เจ้าของร้านเป็นคนจังหวัดอ่างทอง มาเปิดร้านอยู่ที่มัณฑะเลย์เป็นสิบๆ ปีแล้วล่ะค่ะ โดยไปๆ มาๆ ไม่ได้อยู่อย่างถาวรนะคะ ซึ่งเจ้าของร้านก็ให้ความเป็นกันเอง แถมยังดูแลเอาใจใส่ คนไทยเป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ

อิ่มกันแล้ว เดินทางต่อกันค่ะ สถานที่แต่ละแห่งที่เราไป นั้นห่างกันไม่มากนักใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้นจากตรงนี้ เราจะไปกันต่อที่ พระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นพระราชวังสุดท้ายแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพม่าก่อนที่จะถูกทำลายโดยทหารอังกฤษ ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามินดง ‎หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมระปุระมายังมัณฑะเลย์ เพื่อหนีทหารของจักรวรรดิอังกฤษ ระหว่างสงครามพม่า-อังกฤษเป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชียมีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและตามประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สองทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินพระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิมและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์

วิหารชเวนันดอว์ สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ลวดลายแกะสลักอย่างงดงาม ทั้งหลังคา บานประตู และหน้าต่าง เป็นรายละเอียดประวัติของพระพุทธเจ้า ซึ่งความงดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ๆ ภายในวัดมีพระพุทธรูปอันวิจิตรงดงาม

วัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 และ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจารึกลงบนหินอ่อน 729 แผ่นเป็นภาษาบาลี ทั้งหมด จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ และต้องใช้พระสงค์ถึง 2400 รูปในการคัดลอก และใช้เวลานานถึง หกเดือน กว่าจะแล้วเสร็จ พระไตยปิฏกที่ชำระขึ้นในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็น “พระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก” แต่ละแผ่นจะอยู่ในครอบมณฑปซึ่งตั้งอยู่โดยรอบวัด บรรยากาศของบริเวณวัดร่มรื่นด้วยต้นพิกุลมากมายเรียงรายกันอยู่โดยรอบ ในจำนวนนี้จะมีอยู่ต้นหนึ่งที่อายุเก่าแก่ที่สุดกว่า 250 ปีขนาดลำต้นใหญ่ประมาณ 10 คนโอบ กิ่งก้านสาขาก็ยื่นสยายร่มเงา จนต้องมีเสาค้ำไว้เป็นระยะๆ หากเดินเข้าไปจนสุดด้านในจะได้พบเจดีย์ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวชิกองใน พุกามและยังมีแบบจำลองผังของวัดให้ชมด้วย

หน้าวัดกุโสดอว์

จากนั้นเราไปยัง เนินเขามัณฑะเลย์ (Mandalay Hill) ที่มีความสูง 236 เมตร เราจะเปลี่ยนจากรถบัสเป็นรถสองแถวก่อนค่ะ จากนั้นพอถึง เนินเขา เราจะขึ้นไปบนยอดเขาได้อย่างสะดวก เพราะที่นี่มีบันไดเลื่อนอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อขึ้นไปชมทัศนียภาพและตัวเมืองมัณฑะเลย์รวมถึงพระราชวังมัณฑะเลย์ ยามอาทิตย์อัสดงที่เรามองเห็นได้อย่างชัดเจน

กว่าจะลงมาจาก Mandalay Hill ก็เป็นเวลากว่า หกโมงครึ่งแล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ สำหรับวันนี้ เราจะทานกันที่ ภัตตาคาร Golden Duck หลังอาหาร ก็เดินทางกลับที่พักกันค่ะ คืนนี้เราพักกันที่ HOTEL QUEEN MANDALAY

มื้อเย็น อิ่มอร่อยกันที่ ภัตตาคาร Golden Duck ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระราชวังมัณฑะเลย์

จากตรงนี้สามารถมองเห็นพระราชวังมัณฑะเลย์ได้อย่างชัดเจน

23 กรกฎาคม 2556

Good Morning ค่ะ วันนี้เรา Morning Call กันตั้งแต่ ตี 3 เลยทีเดียว เพราะวันนี้จะนำทุกท่านไปร่วม พิธีล้างหน้าพระมหามุนี อย่างที่เราได้เล่ากันตั้งแต่เมื่อวานถึงพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ นี้ ได้เวลา ตี 3 ครึ่งออกเดินทางไปยังวัดพระมหามุนีกันค่ะ แต่แหม อากาศหนาวมาก น่าตอนต่อจริงๆ แต่ต้องตัดใจค่ะ โอกาสได้เข้าร่วมพิธีแบบนี้ไม่ได้มีง่ายๆ นะคะ เอาละ ขึ้นรถเดินทางกันเลยดีกว่าค่ะ เราต้องมาแต่เช้าๆๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าได้ใกล้และเห็นพิธีได้อย่างชัดที่สุด เพราะนี่เป็นพิธีที่ทำเป็นปรกติทุกวัน เพราะฉะนั้นแล้ว จะต้องมีพุทธศาสนานิกชน ที่ให้ความนับถือและเลื่อมใส มากันเยอะแน่ๆ ค่ะ ใช้เวลาแค่ประมาณ 10 – 15 นาทีเท่านั้น เราก็เดินทางมาถึงแล้วนะคะ วันนี้เรามาเร็วหรือเพราะฝนที่ตกปรอยๆ ลงมา ทำให้คนยังมากันน้อยอยู่เลย ทำให้เราเข้าได้ใกล้มากๆ ค่ะ แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงไม่สามารถเข้าไปด้านในที่ทำพิธีได้ เข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นคะ

พิธีนี้ใช้เวลากว่า หนึ่งชั่วโมงทีเดียวค่ะ เสร็จจากพิธีล้างหน้าพระมุนีก็ได้เวลาล่วงเข้า ตี 5 จะครึ่งแล้วค่ะ เราเดินทางกลับที่พักให้ทุกท่านได้พักผ่อนกันอีกสักนิด จนเวลา 6โมงครึ่งได้เวลาทานอาหารเช้า จากนั้นเดินทางไปสนามบิน เพื่อเดินทางต่อไปยังอินเลกันค่ะ วันนี้เราจะนั่งสายการบิน ASIAN WINGS ไฟลท์ YJ892 เวลา 8.35 – 09.05 น ใช้เวลาเดินทางเพียง ประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเองค่ะ

เดินทางถึงสนามบินเฮโฮ รัฐฉาน จากสนามบิน ตรงไปทะเลสาบอินเล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มออกนอกเมือง จะเห็นสองข้างทางมีต้นไม้น้อยใหญ่ เต็มไปหมด ทางลดเลี้ยวเคี้ยวคด และมีตลาดเหยาหม่า หรือเรียกว่าตลาด 5 วัน เนื่องจากว่าตลาดที่นี่จะมี 5 วัน แต่จะสลับสับเปลี่ยนหมู่บ้านกันไป สินค้าที่ขายก็เหมือนตลาดนัดทั่วไป แถมยังมีร้านน้ำชาด้วยนะคะ

ตลาดเช้าเหยาหม่า เลือกซื้อชากันค่ะ เป็นชาที่ชาวเขาเอาลงมาขายที่ตลาดค่ะ

แวะช็อปปิ้งที่ตลาดเช้ากันพอประมาณ ก็เดินทางต่อกันนะคะ ใช้เวลาอีกประมาณ 30 นาที เราก็เดินทางถึงโรงแรมที่พัก ให้เราได้ดื่มน้ำหายเหนื่อย และเก็บสัมภาระไว้ที่เคาว์เตอร์ของโรงแรมกันก่อนค่ะ

ได้เวลาลงเรือ ชมทะเลสาบอินเลแล้วค่ะ เราจะนั่งเรือ ลักษณะคล้ายๆ กับเรือหางยาว แต่จะมีเก้าอี้ 5 ที่นั่ง พร้อมด้วยเสื้อชูชีพ ด้วยค่ะ เห็นเรือแล้วกลัวร้อนกันแล้วสิคะ บนเรือมีร่มให้ด้วยนะคะ แต่ก็คงช่วยไม่ได้มากนัก คิดซะว่าได้บรรยากาศไปอีกแบบนะคะ ล่องเรืออยู่กลางทะเลสาบท่ามกลางแสงแดด เรือเริ่มออกสู่ทะเลสาบมองไกลๆ สุดลูกหูลูกตา เหมือนไม่มีฝั่งทะเลเลย นั่งมาได้สักพักเริ่มเห็นแล้วค่ะ ชาวอินตาที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเล ชาวประมงกับวิธีการพายเรือด้วยการใช้เท้า หรือแม้กระทั่งแปลงผักลอยน้ำของชาวอินตา ซึ่งชาวอินตาส่วนใหญ่จะทำแปลงผักลอยน้ำด้วยการเก็บเอาต้นอ้อแห้งๆ มาถักรวมกันกับหญ้าให้เป็นแนวยาว ใช้ลำไม้ไผ่ตรึงไว้กับก้นทะเลสาบ แล้วเอาโคลนจากก้นทะเลสาบขึ้นมากลบทับ ผักที่ชาวอินตานิยมปลูก คือ มะเขือเทศ แตงกวา กะหล่ำ ถั่ว และมะเขือยาว ฯลฯ เพราะจะเติบโตดีในที่ชุ่มชื้น ชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แต่พวกเขา “ชาวอินตา” ก็ดูมีความสุข กับชีวิตความเป็นอยู่ในทะเลสาบ มีบ้านอยู่กลางน้ำ บ้านทุกหลังมีท่าเรือเล็กๆๆ

จนเมื่อเรานั่งมาได้สักพักเราจะเจอทางเข้าหมู่บ้าน และผู้คนที่สัญจรไป – มา ทางน้ำ หรือแม้แต่เด็กนักเรียนก็จะมีเรือรับส่งไปโรงเรียน เหมือนโรงเรียนบ้านเราที่มีรถรับส่งไปโรงเรียนเลยค่ะ ต่างกันก็แค่ของเขาเป็นเรือของเราเป็นรถเท่านั้นเอง

บ้านของชาวอินตา จะสังเกตเห็นช่องทางเดินน้ำ ขนาดไม่ใหญ่นัก นี่เป็นทางไปท่าจอดเรือของบ้านนะคะ

ทานอาหารเที่ยงกันก่อนค่ะ ด้วยอาหารพื้นเมืองของชาวอินตา ที่ร้าน HTUN HTUN

อาหารมื้อเที่ยง ณ ร้าน HTUN HTUN

ที่ทะเลสาบแห่งนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น วัดพองดออู หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดพระบัวเข็ม พระพุทธรูป 5 องค์นี้ ชาวบ้านจะอัญเชิญขึ้นเรือ แล้วจะแห่ไปรอบๆ หมู่บ้านริมทะเลสาบ ซึ่งจะแห่หลังเทศกาล ออกพรรษาไปแล้ว 15 วัน พระบัวเข็มมีขนาดเล็กมาก เพียง 5 เซนติเมตรเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ชาวบ้านปิดทองจนสูงกว่าเดิมถึง 6 เท่า พระบัวเข็ม ถือเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ของทะเลสาบอินเล ซึ่งเล่ากันว่าชาวบ้านได้อัญเชิญพระพุทธรูปออกมาแห่ทั้ง 5 องค์ แต่ปี 1965 เกิดพายุใหญ่ เรือพลิกคว่ำ จนพระพุทธรูปจมลงไปในทะเลสาบ ชาวบ้านได้ช่วยกันงมหาขึ้นมา แต่พบเพียง 4 องค์ จึงได้นำพระพุทธรูป 4 องค์ที่งมพบ กลับมายังที่วัด แต่เมื่อกลับมาถึงวัด กลับมีพระพุทธรูปองค์ที่งมหาไม่เจอ มีเศษวัชพืชติดอยู่เต็มองค์อย่างอัศจรรย์ ตั้งแต่นั้นจึงไม่มีการอัญเชิญพระพุทธรูปองค์ที่งมหาไม่เจอออกไปแห่ที่ไหนอีกเลย

พระบัวเข็ม ณ วัดพองดออู

หมู่บ้านทอผ้าอินปอขอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่นำเส้นใยบัวมาทอเป็นเสื้อผ้า, ผ้าพันคอ ฯลฯ และยังมี หมู่บ้านทำเครื่องเงิน ที่ออกแบบลวดลายสวยงามให้เลือกมากมาย ทั้งสองหมู่บ้านนี้ต้องนั่งเรือออกมาห่างกันพอสมควร ได้บรรยากาศสุดๆๆ กับการนั่งเรือชมวิว ทิวทัศน์ ตามทางผ่านจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง จะได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินตาในมุมที่เราไม่เคยเห็น

วิธีการทำให้ได้เส้นใยออกมา โดยการตัดกลางก้านบัว ดึงออกมาเพื่อให้ได้เส้นใยออกมาค่ะ

ชมวิธีการและขั้นตอนการทำเครื่องเงินเป็นเครื่องประดับในรูปแบบต่างๆ และเลือกซื้อสินค้าจากเครื่องเงินกันค่ะ

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เราไปสถานที่สุดท้ายของวันนี้กันค่ะ ที่นี่เรียกว่า วัดแมวกระโดด หรือ NGA PHE CHAUNG MONASTERY สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีอายุกว่า 200 ปี และมีพระภิกษุ 2 – 4 รูป ที่มาของชื่อวัดแมวกระโดด เพราะก่อนนี้จะมีการให้แมวโชว์กระโดดลอดห่วง และโชว์กายกรรมเล็กของแมว แต่ตอนนี้ไม่มีโชว์นั้นแล้ว ไกด์บอกว่า เจ้าอาวาสสงสารแมว จึงไม่ได้ให้แมวกระโดดอีก แม้จะเสียดายที่เราไม่ได้เห็นไฮไลท์ ของวัดนี้ แต่เราก็ได้เห็นวัดที่สวยงาม รวมไปถึง พระพุทธรูปที่สวยงามหลายองค์ให้เรากราบไหว้ นมัสการ

เราอยู่ที่นี่กันประมาณ 40 นาที ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เดินทางกลับที่พักกันดีกว่าค่ะ จากตรงนี้เรานั่งเรืออีกประมาณ 40 นาที ก็จะถึงโรงแรมที่พัก

ทางเข้าโรงแรมเมื่อเรามองมาจากทะเลสาบ

กลับมาถึงโรงแรมที่พัก ยังพอมีเวลาให้ทุกๆ ท่าน ได้พักผ่อนกันนะคะ ก่อนที่เราจะทานอาหารเย็น ในเวลา 18.30 น. หลังอาหารเย็น เชิญทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยได้เลยค่ะ หรืออาจจะถ่ายรู)ที่พักก็ได้ค่ะ เพราะที่นี่สวยมากๆๆ เลย มีหลายๆ มุมให้ทุกท่านได้เก็บภาพประทับใจกันเลยค่ะ

ห้องพักที่นี่ จะเป็นแบ่งเป็นหลังๆ หลังนึงจะมี 5 ห้องค่ะ

24 กรกฎาคม 2556

Good Morning ค่ะ หลังรับประทานอาหารเช้ากันแล้ว เราก็พร้อมเดินทางไปสนามบินเฮโฮ เพื่อเดินทางไปย่างกุ้งกันแล้วค่ะ จากที่นี่ไปสนามบินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ ด้วยสายการบิน ASIAN WINGS เที่ยวบิน YJ 892 เวลา 09.15 – 10.25 น.

Have Breakfast ค่ะ มื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์เช่นเดิมจ้า

คุณตา คุณยาย บอกว่า บรรยากาศดี วิวสวย ขอสักรูปก่อนกลับ

ทัวร์พม่า


บทความที่เกี่ยวข้อง