logo
image

icon-travel-2 รีวิว เที่ยวพม่า ย่างกุ้ง หงสาวดี พระธาตุอินแขวน แล้วคุณจะหลงรักพม่า

รีวิว เที่ยวพม่า ย่างกุ้ง หงสาวดี พระธาตุอินแขวน แล้วคุณจะหลงรักพม่า

พฤศจิกายน 27, 2018
แชร์ :

สวัสดีค่ะ กลับมาจากทริปทัวร์พม่า ย่างกุ้ง หงสาวดี พระธาตุอินทร์แขวน ในช่วงเทศกาลปีใหม่สากลที่ผ่านมา อยากจะมาเล่าความประทับใจในการเดินทางทริปนี้ให้เพื่อนๆชาวสนุกฮอลิเดย์ได้ชมกันนะคะ

เส้นทางนี้หลายคนคงเคยอ่านรีวิวไว้เยอะแล้ว เอาเป็นว่าเหมือนการอัพเดทข้อมูลล่าสุดพม่าในปี 2015 กันนะคะ พม่าหลังจากเปิดประเทศได้เพียง 2 ปี ก็ได้นำความเจริญเข้ามาอย่างก้าวกระโดดก็ว่าได้ค่ะ และคิดว่าคงใช้เวลาอีกไม่กี่ปีน่าจะกลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองมากอีกประเทศหนึ่งค่ะ

ในส่วนของวีซ่าพม่านั้น ปัจจุบันได้ปรับราคาแล้วนะคะ เป็น 910 บาท ยื่นที่สถานทูตพม่า ลงสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ เดินย้อนกลับมาเข้าซอยไปนิดเดียว แม้ว่าจะเตรียมรูปถ่ายสีพื้นหลังสีขาว 2 นิ้ว จำนวน 2 รูปไปให้เจ้าหน้าที่ แต่วีซ่าก็ออกมาเป็นตรายางประทับพร้อมลายมือนั้นเอง อุตสาห์ลุ้นอยากได้วีซ่าเว่อร์ชั่นไฮโซ ที่เป็นสติกเกอร์มีรูปโชว์แบบแชงเก้นซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าหน้าที่เค้าทำงานได้ไวในช่วงเทศกาลที่คนไทยแห่ไปเที่ยวจนเจ้าหน้าที่สถานทูตทำงานแทบไม่ทันค่ะ

นอกจากนี้ยังมีการทำวีซ่าออนไลน์ด้วยนะคะ แต่ว่าราคาแพงกว่า และใช้เวลาประมาณ 4-5 วันทำการ หลังจากได้วีซ่าแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกันเลยค่ะ

ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เคาท์เตอร์เช็คอินสายการบิน เมียนมาร์แอร์เวย์ อินเตอร์เนลชั่นเนล(MAI) คือบริเวณแถว N หลังจากได้บอรด์ดิ้งพาสแล้วเราก็มารอที่ประตูขึ้นเครื่องค่ะ ออกเดินทางวันที่ 30 ธ.ค. กลัวคนเยอะเลยเพื่อเวลาหน่อยนะคะ ศาลาไทยในสนามบินสุวรรณภูมิสวยๆ แซะไว้ 1 รูปก่อนออกเดินทาง

จากนั้นก็ได้เวลาออกเดินทางค่ะ เราเลือกบินไปไฟลท์เย็นนะคะ เครื่องออกเวลา 19.20 ถึงพม่าเวลา 20.05 เวลาพม่าช้ากว่าไทย 30 นาทีค่ะ

พร้อมแล้วก็เดินทางกันเลยค่ะ สายการบินประจำชาติพม่า เดี๋ยวเรามาดูภายในเครื่องและการบริการกันนะคะ

เครื่อง AIRBUS A319 ที่นั่งบนเครื่องแบบ 3-3 เบาะแบบหนัง ใหม่กว่าตัว AIRBUS A320 ที่เอามาบินในบางไฟลท์นะคะ ลำนี้จะมีที่นั่งแบบชั้นธุรกิจอยู่แถวหน้าสุด 10 ที่นั่ง ถัดมาเป็นชั้นทัศนาจร หรือชั้นประหยัดนั้นเองค่ะ

เมื่อเครื่องทำการตั้งลำเรียบร้อย แอร์สาวและสจ๊วตหนุ่มก็ทำการเสริฟ์อาหารค่ะ แต่มาเป็นขนมปังนะคะ ตามรูปเลย

มาถึงแล้วสนามบิน Yangon International Airport เราก็เดินลงบันไดเลื่อนมาชั้นล่างแล้วผ่านตม. ซึ่งไฟลท์จากเมืองไทยลงติดๆๆๆๆๆๆกันทำให้แถวยาวมากค่ะและนานมาก ก่อนเข้าตม. ยังมีการชมอีกนะคะ “You’re very pretty” ชวนคุยทำไมตรูอยากจะไปเที่ยวแล้ว

แล้วเราก็เดินทางเข้าโรงแรมที่พักค่ะ ในย่างกุ้งเราพักที่ Millennium Hotel Yangon เป็นโรงแรมใหม่ระดับ 3 ดาว

ห้องพักสะอาด ใหม่ และอุปกรณ์ครบดีค่ะ มีทีวี ตู้เย็น แอร์ สามารถรับชมช่องจากเมืองไทยได้ ที่สำคัญมีบริการ Free Wifi สามารถขอรหัสได้ที่ล็อบบี้เลยค่ะ พนักงานสามารถพูดภาษาไทยได้ด้วย อบอุ่นใจจริงๆ

มาดูภายในห้องน้ำนะคะ มีน้ำอุ่น มีอุปกรณ์ครบค่ะ และมีไดร์เป่าผมด้านนอกด้วย

เข้าห้องมาสักพัก พนักงานจะนำผลไม้ welcome fruit มาให้ค่ะ และตอนที่เช็คอินก็จะมี welcome drink ด้วยนะคะ

มาดูหน้าโรงแรมค่ะ โรงแรม Millennium Hotel Yangon หลังจากพม่าเปิดประเทศแล้วโรงแรมก็ต่างปรับราคาอย่างก้าวกระโดด นักท่องเที่ยวแห่เข้ามาเที่ยวจนโรงแรม 5 ดาวที่คนไทยเคยใช้ต่างรับไม่ไหวพากันปรับราคา ทำให้ปัจจุบันเราต้องมาพักโรงแรม 3 ดาว ในราคาเท่ากับ 5 ดาวในยุคพม่าปิดประเทศนั้นเอง โรงแรมนี้ถือเป็นอีกตัวเลือกที่แนะนำนะคะ

จากโรงแรมห้องอาหารเช้าอยู่ชั้น 9 และสามารถมองเห็นเจดีย์โปตาทาวน์ Botataung Pagoda เจดีย์ที่สร้างขึ้นเป็นเจดีย์แรกในย่างกุ้ง อายุกว่า 2,600 ปี ได้อย่างชัดเจนค่ะ

มาดูอาหารเช้าของโรงแรมนะคะ มีบริการกาแฟ และชานมแบบพม่า แนะนำให้ลองชิมดูนะคะ รสชาติหวานนุ่มดีมากค่ะ แต่ไม่มีโอวัลติลนะคะ

มาดูอีกมุมค่ะบริการไข่ดาว ขนมปัง และถัดไปจะมีพวกข้าวผัด และอาหารคาวต่างๆประมาณ 4 อย่างคะ อาหารเช้าไม่หลากหลายมากแต่รสชาติใช้ได้ค่ะ

และเราก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่าค่ะ รถที่ใช้ในทริปนี้ สภาพใหม่ สะอาด แอร์เย็นเจี้ยบเลย

แวะถ่ายรูปกันที่เจดีย์สุเล Sule Pagoda เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมสีทองอร่าม ซึ่งเปรียบดั่งจุดศูนย์กลางในการเดินทาง (เหมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบ้านเราเลย) เจดีย์นี้สร้างเป็นเจดีย์ลำดับที่สองในย่างกุ้งคะ

ใกล้ๆกันเป็นศาลาว่าการเมืองย่างกุ้ง ปัจจุบันเมืองหลวงพม่าได้ย้ายไปที่เมืองเนปิดอว์แล้วนะคะ ชาวพม่าหรือเมียนมาร์ มีการย้ายเมืองหลวงบ่อยครั้งมาก เพราะคนพม่าเชื่อว่าถ้าบ้านที่อยู่แล้วไม่ดีไม่เจริญก้าวหน้าก็ให้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ค่ะ เลยอาจเป็นความเชื่อส่วนหนึ่งที่ต้องทำการย้ายเมืองหลวง

แล้วเราก็ออกเดินทางไปเมืองหงสาวดี หรือพะโค Bago ห่างจากย่งกุ้งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 80 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ย่างกุ้งในปัจจุบันหลังเปิดประเทศแล้ว รถติดแล้วค่ะ รถเยอะมาก ต้องเพื่อเวลาท่องเทียวมากขึ้น และ ยังรับเอาความเจริญเข้ามา ตอนนี้ทั้งสถานเสริมความงามอย่างวุฒิศักดิ์ หรือ นิติพล ก็ไปตั้งสาขาในย่างกุ้งแล้วนะคะ -*- อีกหน่อย”ทานาคา”จะหมดไปไหมเนี่ย

ก่อนจะออกจะไปหงสาวดี เราก็แวะซุปเปอร์มาเก็ต ซึ่งจำหน่ายสินค้า Made in Thailand เพื่อเข้าห้องน้ำและกักตุนของกินขนมคบเคี้ยวค่ะ พระสงฆ์พม่ามาบิณฑบาต คณะคนไทยบ้างคนก็ซื้อของในซุปเปอร์มาใส่เอาฤกษเอาชัยในวันส่งท้ายปีเก่า 31 ธ.ค. 2557 กันเลยคะ

แล้วเราก็มาถึงเมืองหงสาวดี สถานที่แรกที่เราเข้าชมกันคือ พระเจดีย์ไจ๊ปุ่น Kyaikpun Pagoda วัดนี้เราลงไปถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดกันค่ะ ชาวบ้านจะมีดอกไม้ธูปเทียนให้บูชาราคา 500 จั๊ต และ ก็จะมีการเก็บค่ากล้องถ่ายรูป 300 จั๊ตด้วยนะคะ

พระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุกว่า 500 ปี สร้างในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ ในปี พ.ศ. 2019 ตำนานเล่าว่าพระราชธิดาพี่น้องทั้ง 4 องค์ ซึ่งต้องการจะสร้างพระพุทธรูปยิ่งใหญ่และสาบานว่าจะไม่ข้องเกี่ยวบุรุษเพศ

แต่แล้วพระราชธิดาองค์ที่ 4 ก็ได้ผิดคำสาบาน ทำให้พระพุทธรูปองค์ที่น้องสร้างนั้นพังลงมา และมีการบูรณะใหม่เป็นศิลปะแบบพม่า อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ส่วนอีก 3 องค์เป็นศิลปะแบบมอญนั้นเองค่ะ ชื่อพระเจดีย์ไจปุ่น คำว่า ไจ๊ แปลว่า พระหรือเจดีย์ ส่วนปุ่น คือ 4 แปลตามตรงก็เป็นวัดพระ 4 ทิศแทนองค์สมเด็จพระสมณโคดม กับอดีตพุทธเจ้าอีกสามองค์ ได้แก่พระโกนาคมน์ พระกกุสันธะและกัสสปะ

จากนั้นเราก็มาชมพระธาตุจมูกร้อน หรือพระธาตุมุเตา ถ้าเราสังเกตุปากสิงห์ที่เฝ้าหน้าวัดพระธาตุมุเตาแห่งนี้ เราจะสังเกตุเห็นพระอุปคุต เนื่องจากพระธาตุมุเตามีความสูงมาก เรียกว่าสูงมากที่สุด สูงกว่าพระเจดีย์ชเวดากอง ทำให้พระธาตุมุเตา ถูกฟ้าผ่ายอดเจดีย์หักหลายครั้งหลายคา ปัจจุบันมียอดเจดีย์เดิมที่หักลงมาไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ให้พุทธศาสนิกชน ได้นำธูปไปคำจุน ชาวพม่าจึงได้อันเชิญพระอุปคุตซึ่งเป็นพระแห่งโชคลาภและคุ้มกันภัยทั้งปวง มาประดิษฐานในปากของสิงห์ เพื่อคุ้มกันภัยให้องค์พระธาตุแห่ง หลังจากนั้นยอดพระเจดีย์พระธาตุมุเตาก็ไม่เคยถูกฟ้าผ่าอีกเลย

เราถอดรองเท้าไว้ที่รถแล้วเดินขึ้นพระธาตุมุเตากันค่ะ ค่ากล้องถ่ายรูป 300 จั๊ต

พระธาตุมุเตา เป็นศิลปะแบบมอญ นะคะ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มอญ และพม่าเป็นคนละชนเผ่ากันค่ะ ในพม่ามีหลายชนเผ่า เช่น พม่า มอญ กระเหรี่ยง ไทยใหญ่ ยะไข่ ฉาน คะฉินและคะยา ซึ่งในสมัยโบราณมีการผลัดกันเรืองอำนาจ อย่างเมืองหงสาวดีนั้นแต่เดิมเป็นของชาวมอญค่ะ ในสมัยพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ กษัตริย์พม่าในราชวงศ์ตองอู ได้มาทำพิธีเจาะพระกรรณ ณ พระธาตุมุเตาแห่งเมืองมอญ พระองค์ทรงกราบขอพรกับพระธาตุมุเตาว่า พระองค์อยากจะกราบบูชาองค์พระธาตุมุเตาทุกวัน หลังจากนั้นไม่นาน พม่าก็สามารถยึดเมืองหงสาวดี และย้ายราชธานีลงมาจากตองอู มาสร้างบ้านสร้างเมืองที่หงสาวดีนั้นเอง

พระธาตุมุเตา เป็น ภาษามอญ แปลว่าจมูกร้อน เนื่องจากองค์พระเจดีย์มีความสูงถึง 114 เมตร หรือ 375 ฟุต อายุกว่าพันปี สร้างในช่วงศตวรรษที่ 10 ต่อมาเมื่อพม่าได้มาปกครองบริเวณหงสาวดี หรือที่พม่าเรียกว่า หานตาวดี ก็ได้ตั้งชื่อในแบบพม่าว่า “ชเวมอดอ” พระธาตุมุเตาจึงมีอีกชื่อในภาษาพม่าว่าพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ คนมอญจะเรียกชาวพม่าว่ามาร นะคะ เพราะว่าพม่าชอบมารุกรานมอญนั้นเอง

ยอดพระเจดีย์ที่หักลงมาในช่วงเวลาที่ยากลำบากคือเป็นช่วงที่อังกฤษ เข้ามาปกครองพม่าอยู่นั้น ชาวพม่าและชาวมอญต่างก็มองในแง่ดีที่ว่า การที่ยอดหักลงมา เพื่อให้สามารถกราบไหว้ได้อย่างใกล้ชิด จึงนิยมนำธูปไปค้ำที่ยอดเจดีย์ เราซึ่งชุดบูชาที่วัดนี้ ชุดละ 1,000 จั๊ต หลังจากเอาธูปค้ำแล้วก็จุดธูปที่เหลือทั้งหมดไหว้พระธาตุได้เลยคะ

และเราก็ไปกันต่อที่วัดพระนอน พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว Shwethalyaung Buddha

พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว อายุกว่า 1,000 ปี ศิลปะแบบมอญ สร้างในช่วงใกล้เคียงกับพระธาตุมุเตา องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร เดิมทีวัดถูกปล่อยทิ้งร้างในป่ารก ต่อมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกค้นพบในระหว่างการสร้างทางรถไฟ ทางการพม่าจึงทำการสร้างโครงหลังคา

ลักษณะเด่นขององค์พระคือ บริเวณพระบาทจะไม่วางเสมอกันเหมือนอย่างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ทั่วไป คาดว่าน่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในขณะยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งเป็นอากัปกิริยาก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่ปรินิพพานในวันถัดมา

ออกเดินทางเข้าสู่รัฐมอญกันค่ะ หลังจากถูกพม่ามาตียึดเมืองหานตาวดีหรือหงสาวดี ไป ชาวมอญก็ได้อพยพย้ายออกมาอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำสะโตง ดูรถพม่าข้างหน้าสิคะ กระบะหรือรถบรรทุเนี่ย

เมื่อข้ามฝั่งแม่น้ำสะโตงแล้วเรามาทัวร์พม่าก็จะถึงรัฐมอญแล้วค่ะแม่น้ำสะโตง หรือ แม่น้ำซิตอง เป็นแม่น้ำในประเทศพม่ามีความยาว 420 กิโลเมตร เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเขตหงสาวดีกับรัฐมอญ มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จหลบหนีกองทัพพม่าของพระมหาอุปราชมังสามเกียด พระองค์ได้หลบหนีข้ามพ้นมาและได้แสดงวีรกรรมยิงพระแสงปืนข้ามลำน้ำสะโตง คือ ยิงปืนคาบศิลาจากอีกฝั่งของแม่น้ำถูกแม่ทัพพม่า ชื่อ สุรกรรมา เสียชีวิตคาคอช้าง เมื่อปี พ.ศ. 2127

แล้วเราก็มาเปลี่ยนรถเพื่อเดินทางขึ้นไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนค่ะ ลักษณะรถบรรทุ ที่ชาวไทยต่างพูดถึงว่าเป็นรถขนหมู มีเพียงแค่ไม้พาด ปัจจุบันการท่องเที่ยวดีขึ้น เป็นเป็นเบาะฟองน้ำหุ้มหนังแล้วนะคะ และมีราวให้หลังสามารถพิงหรือใช้มือจับได้

ซึ่งการขึ้น-ลงของรถ 6 ล้อนี้จะถูกควบคุ้มโดยผู้รับสัมปทาน เป็นชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวกระเหรี่ยงค่ะ กระเหรี่ยงได้ครอบครองบริเวณเข้าไจ้โถ่ มาเป็นเวลานานแล้วค่ะ และเป็นผู้ได้รับสัมปทาน ในการจัดรถขึ้นไปส่งนักท่องเทียวนั้นเอง จะมีจุดพักเพื่อรอให้รถลงมา และรถขาขั้นสลับขึ้นไป

มาดูรถ 6 ล้อที่นั่งพัฒนาขึ้นนิดหนึ่งแล้วค่ะ

นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะต้องลงก่อนถึงทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนประมาณ 400 เมตรค่ะ สมัยก่อนจะจอดลงส่งก่อนถึงประมาณ 2 กิโลเมตรเพื่อขายเสลี่ยงราคา 25 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันมาส่งใกล้ขึ้นแล้วค่ะ แต่บางคนก็ยังอาจจะใช้บริการเสลี่ยงอยู่นะคะ เราจะเดินผ่านร้านค้า และจุดจำหน่ายตั๋วก่อนเข้าชมพระธาตุค่ะ

ซึ่งถ้าเป็นชาวพม่ารถจะมาส่งหน้าบันไดทางขึ้นเลย เพราะไม่ต้องเสียค่าตั๋วเข้านั้นเอง

เราต้องถอดรองเท้าตั้งแต่บันไดทางขึ้นนี้เลยนะคะ

จุดแรกทางซ้ายมือจะเป็นศาลาของนางชเวนานจิน ซึ่งมีเรื่องเล่าว่านางเป็นธิดาของพญานาคกับมนุษย์ ซึ่งนางมีความต้องการบูชาพระธาตุอินทร์แขวน แต่มีข้อห้ามสตรีเข้าไปปิดทอง นางเป็นนัต ตนหนึ่ง ซึ่งชาวพม่าและชาวกระเหรี่ยงจะมาขอพรในเรื่องสุขภาพค่ะ ส่วนใหญ่เมื่อเราไหว้พระธาตุอินทร์แขวนแล้วเราก็จะนำบุญมาแบ่งให้นางด้วยค่ะ ชุดที่นางใส่เป็นชาวกระเหรี่ยงคะ

ในวันที่ 31 ธ.ค. ชาวกระเหรี่ยงก็เดินทางมาสักการะบูชาและมีการแสดงที่พระธาตุอินทร์แขวนด้วยค่ะ จากพระธาตุอินแขวนหากนั่งรถต่อไปอีก 2-3 ชม.ก็จะเป็นรัฐกระเหรี่ยงนั้นเองค่ะ หรือถ้านั่งรถต่อไป อีก 6 ชม. จากรัฐกระเหรี่ยงก็จะถึงแม่สอด ประเทศไทยค่ะ

องค์พระธาตุอินแขวน หรือไจทีโย Kyaikhtiyo ในภาษามอญ หมายความว่า หัวของฤๅษีในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังพม่า และประทานเส้นพระเกศา ให้พระฤาษี 6 ตน แต่ละตนจะเก็บพระเกศา เอาไว้ จนอายุต่างก็มากขึ้น จนเหลือ ฤาษี 2 พี่น้อง ซึ่งได้เก็บพระเกศาเอาไว้ที่มวยผมของตนเอง ต่อมาฤาษีตนน้องได้สิ้นไป เหลือเพียงฤาษีติสสะ จึงคิดจะสร้างพระธาตุเพื่อบรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า พระอินทร์จึงได้หาก้อนหินจากใต้ทะเลน้ำลึกมาให้ฤาษีติสสะเลือก (สังเกตุว่าจะมีพระธาตุที่ค้ลายพระธาตุอินแขวนถึง 6 แห่ง ในบริเวณเขาไจ้โถ่ Kyaikto ) นั้นเพราะฤาษีได้ทำการทดสอบว่าพระอินทร์แท้จริงเป็นพระอินทร์หรือไม่ หรือเป็นมารร้ายปีศาจปลอมตนมา และก็ได้เลือกหินก้อนที่มีลักษณะเหมือนศีรษะคนเพื่อประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้านั้นเอง นางชเวนานจินก็เป็นลูกสาวบุญธรรมของฤาษีนั้นเอง เนื่องจากฤาษีได้ไปพบไข่พญานาคในถ้ำและนำมาเลี้ยงเมื่อไข่ฟักออกมาเป็นหญิงสาวจึงไปฝากไว้กับชาวกระเหรี่ยงสามี-ภรรยาคู่หนึ่ง ได้เลี้ยงนางมาจนโตเป็นสาว และได้เป็นพระมเหสี ของกษัตริย์มอญ เนื่องจากความงดงามของนาง และนางก็ได้เดินทางมานมัสการองค์พระธาตุอินทร์แขวนแห่งนี้ แม้จะไม่สามารถลงไปปิดทองได้

การไหว้พระธาตุอินแขวนจะต้องทำการ บูชาด้วยระฆัง ใบเล็กสุดราคา 3,000 จั๊ต เขียนชื่อของตนเอง และทองคำเปลวมี 5 แผ่น ในราคา 1,750 จั๊ต จากนั้นก็ไปไหว้บูชาถวายระฆังและปิดทององค์พระธาตุ หากเป็นสตรีก็ทำการฝากบุรุษลงไปปิดแทน

ถัดมาใกล้องค์พระธาตุจะมีนัตโบโบยี (หรือนัตตนเดียวกับเทพทันใจที่วัดโปตาทาวน์นั้นเอง)

จากนั้นเราก็จะเดินเลยพระธาตุไปนิดจะเป็นโรงแรมที่พักของเราในคืนนี้คะ โรงแรมYoe Yoe Lay

Yoe Yoe Lay แปลว่าธรรมดา เป็นภาษาพม่าค่ะ มาดูว่าห้องพักเป็นอย่างไรนะคะ

ภายในห้องพัก จะต้องเดินลงไปเนื่องจากโรงแรมสร้างตามไหล่เขา แต่ก็เป็นโรงแรมที่ใกล้พระธาตุกว่าโรงแรม Mountain Top และ Kyaikhtiyo Hotel นะคะ โรงแรมเพิ่งเปิดใหม่เลยสะอาดมากค่ะ

มีโทรศัพย์ ตู้เย็น แต่ไม่มีน้ำฟรีนะคะ Free Wifi ที่ล็อบบี้ ของรหัสจากพนักงานที่ล็อบบี้ได้เลยคะ

ภายในห้องน้ำ มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีสบู่ ยาสีฟันให้นะคะ

ทีวีดูช่อง 7 ไทยได้ด้วย ไม่เหงาแน่นอน

วิวตอนเช้าจากที่พัก อันนี้ไม่ใช่พระธาตุอินทร์แขวนที่บรรจุพระเกศาธาตุนะคะ แต่เป็นหินที่ฤาษีขอให้พระอินทร์หามาให้เลือกนั้นเอง

เช้าวันที่ 1 ม.ค. ตอนเช้าชาวพม่าและชาวกระเหรี่ยงจะถวายเข้าพระพุทธค่ะ ไม่ใช่ใส่บาตรหรือถวายพระสงฆ์ แต่เป็นการถวายให้พระธาตุอินทร์แขวนนั้นเอง พระธาตุอินทร์แขวนเป็นชื่อที่คนไทยตั้งค่ะ ตั้งจากตำนานการสร้างนั้นเอง

ก่อนลงจากเขาไจ้โถ่ ใกล้ๆทางเข้าของพระธาตุก็มีอีกองค์ค่ะ ที่ฤาษีขอให้พระอินทร์หามาให้เลือก

แล้วเราก็เดินทางกลับเมืองหงสาวดี ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. มาเที่ยวชมพระราชวังกัมโพชธานี หรือพระราชวังหงสาวดี แท้จริงแล้วพระราชวังเดิมได้ถูกทำลายในสมัยพระเจ้านันทบุเรงนอง ชาวมอญได้รวมกับชาวยะไข่ทำการเผาทำลายพระราชวังทองคำแห่งนี้จนสิ้น แต่นักประวัติศาสตร์ทราบได้เนื่องจากฐานของพระราชวังนั้นเอง ในภาพเป็นฐานเดิมตำหนักพระมเหสีจันทรา ของพระเจ้านันทบุเรงนอง

ตำหนักแรกคือ พระตำหนักที่ประทับบรรทมของพระเจ้าบุเรงนอง ทาสีทองเหลืองอร่ามในแบบสถาปัตยกรรมพม่า ในสมัยโบราณนั้นทองคำแท้ๆนำมาประดับเป็นผนังของพระราชวัง แต่ปัจจุบันใช้ทาสีทองเอาค่ะ รัฐบาลพม่าได้จำลองแบบขึ้นมาจากคำบอกเล่าและบันทึก สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2533

เข้ามาด้านในจะเป็น”บัลลังก์ภุมรินทร์” หรือ “บัลลังก์ผึ้ง” ซึ่งแสดงถึงความงอกงามอุดมสมบูรณ์ของครอบครัว

พระเจ้าบุเรงนองจะผ่านประตูตรงบัลลังก์ผึ้งเพื่อเข้าสู่ห้องบรรทม

จากนั้นเราจะมาชมในส่วนของพระราชวังกัมโพชธานีซึ่งเป็นพระตำหนักในการออกว่าราชการแผ่นดินและพระราชพิธีสำคัญ

พระเจ้านันทบุเรงนองจะเด็จโดยช้างมาเทียบบริเวณตรงกลางพระตำหนัก

ส่วนเหล่าข้าราชบริพารจะเข้าทางซ้ายและขวา

แม้จะเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ก็มีการนำเอาเสาไม้เดิมที่ขุดพบมาเทียบให้เห็นไม้สักทองต้นใหญ่อายุกว่า 300 ปี

พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวพม่า จากซ้าย พระเจ้าอโนรธามังช่อ King Anawrahta แห่งราชวงศ์พุกาม / พระเจ้าบุเรงนอง King Bayinnaung จากราชวงศ์ตองอู / พระเจ้าอลองพญา King Alaungmintaya ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คองบอง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของพม่า

สีหาสนบัลลังก์ หรือ บัลลังก์สิงห์ หนึ่งในบัลลังก์ 8 แบบของพระมหากษัตริย์พม่า โดยบัลลังก์สิงห์จะใช้เป็นที่ประทับในการออกว่าราชการ

แล้วเราก็แวะรับประทานอาหารที่เมืองหงสาวก่อนกลับเข้าย่างกุ้งค่ะ ภัตตาคารที่รับทัวร์สมัยนี้จะมีบริการ Free Wifi นะคะ ขอได้เลย แต่สัญญาน -*-

มาดูอาหารกันค่ะ พม่ากุ้งแม่น้ำและกุ้งมังกรจะถูกกว่าบ้านเราค่ะ ตัวใหญ่มาก

มาถึงย่างกุ้งแล้ว รถก็ติดเช่นเคยค่ะ แต่ข้อดีของย่างกุ้งก็มี คือเป็นเมืองที่ห้ามมีมอเตอร์ไซค์ แต่รถก็ติดนะคะ อุบัติเหตุอาจจะน้อยกว่าแค่นั้นเองค่ะ

มาถึงย่างกุ้งเราก็เที่ยวกันต่อที่ ปางช้างเผือกซึ่งไกด์พม่าบอกว่ามี 3 เชือก แต่เราดูจากสี มีแค่ 2 เชือก เพราะตัวผู้ออกสีธรรมดามากกว่าคะ

ช้างเผือก 3 เชือกนี้ ชาวพม่าซึ่งเป็นควาญช้าง ได้พบโดยบังเอิญในป่า และได้นำมาให้ทางรัฐบาลพม่า ทางรัฐบาลซึ่งให้ครอบครัวนี้รับหน้าที่ดูแลช้างค่ะ คชลักษณะช้างเผือกของพม่า สีตาเป็นสีไข่มุก กลีบนิ้วเป็นสีชมพู หลังดังใบกล้วยคว่ำ ขนตัวและปลายหางขาว หางทอดตรง ใบหูใหญ่ เล็บเท้าข้างละ 4 เล็บ งวงยาวจรดพื้น หนังตาเป็นสีชมพู ขนตาขาว อวัยวะเพศขาว ซึ่งในพม่ามีทั้งหมด 9 เชือก

ทัวร์พม่าครั้งนี้เราก็มาช้อปปิ้งกันต่อที่ตลาดดโบโจ้กอองซาน Bogyoke Aung San หรือตลาดสก็อต ตอนนี้นายพลชาวสก็อตกลับประเทศไปแล้วค่ะ คนพม่าเลยเปลี่ยนชื่อตลาดใหม่เป็นชื่อนายพลอองซาน บิดาของนางอองซาน ซูจี นั้นเองค่ะ แต่เราไม่ได้ไปเดินนะคะ แอบเดินในห้างข้างๆตลาดค่ะ ห้องน้ำสะอาดด้วย กินขนมรอคนช้อปปิ้

จากนั้นเราก็มานมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง คำว่า ชเว แปลว่าทองคำ ส่วน ดากอง คือชื่อเมืองในอดีตของย่างกุ้ง ตามตำนานเจดีย์ชเวดากองถูกสร้างขึ้นเมื่อ 2,600 ปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ต่างสันนิษฐานว่าเจดีย์แห่งนี้น่าจะมีสร้างในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 6 และศตวรรษที่ 10

ตำนานการสร้างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ในสมัยพุทธกาล มีพ่อค้าพี่น้องชาวเมืองBalkh(ปัจจุบันอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน) ชื่อว่าตปุสสะ Taphussa และภัลลิกะ Bhallika ได้ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 49 วัน พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น เปรียบดั่ง อริยมรรคอันมีองค์ 8 หรือ วิถีทางแห่งการปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ และพ่อค้าสองพี่น้องนั้นได้นำมาถวายให้แก่พระมหากษัตริย์มอญคือพระเจ้าโอกะลาปะ King Okkalapa แล้วให้ทหาร1,000นายตั้งแถวถวายความเคารพพระเกศาธาตุ บริเวณวัดเจดีย์โปตาทาวน์ จากนั้นพระเจ้าโอกะลาปะก็ทรงเลือกเนินเขาเสนคุตตะระ Singuttara Hill และสร้างเจดีย์สำหรับประดิษฐานพระเกศาธาตุ 8 เส้นนี้เอาไว้

แต่องค์พระเจดีย์ได้มีการบูรณะแต่ก่อสร้างเพิ่มเติม ในสมัยพระนางซินสอบู กษัตรีมอญผู้ครองเมืองหงสาวดีทรงริเริ่มธรรมเนียมบริจาคทองคำเท่าน้ำหนักพระองค์ในการบูรณะพระมหาเจดีย์ในปี พ.ศ.1996 และกลายเป็นพระราชพิธีที่ปฎิบัติสืบต่อกัน พระมหากษัตริย์มอญและพม่าแทบทุกพระองค์ได้ถือเป็นพระราชภารกิจ ที่จะต้องถวายทองคำเพื่อเสริมองค์พระเจดีย์ให้สูงใหญ่ยิ่งขึ้น จนปัจจุบันมีความสูงถึง 326 ฟุต และ กว้าง 1355 ฟุต

พระมหาเจดีย์ชเวดากองมีทองคำหุ้มอยู่โดยรอบน้ำหนักรวมถึงราว 46 ตัน (ราว 46,000 กิโลกรัม) โดยจะเป็นทองคำแผ่นมาเรียงต่อกัน และทุกๆ 5 ปีจะมีการบูรณะทำความสะอาดทองคำ ดังในภาพข้างต้น ซึ่งจะบูรณะเสร็จสิ้นในช่วงเดือนมีนาคม ก่อนสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวพม่า บนยอดสุดของพระเจดีย์ เครื่องเครื่องประดับทั้งเพชร พลอย รวมกว่า 5,448 เม็ด เพชรเม็ดใหญ่ขนาด 76 กะรัต ประดับอยู่บนยอดสูงสุด มีทับทิมกว่า 2,317 เม็ด ภายในบริเวณวัดจะมีพิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน และจุดที่เพชรส่องแสงประกายนั้นภายในลานพระเจดีย์จะมี 2 จุด คือจุดบริเวณพระประจำวันเกิดวันพฤหัส ที่หากหันหลังจะเป็นวิหารพระนอน และอีกจุดคือ หากหลังหลังให้พระเจดีย์ชเวดากองจะเป็นบริเวณเยื้องๆพระเจดีย์ทรงเจดีย์พุทธคยา นอกจากนี้ยังมีจุดชมแสงเพชรที่เปลี่ยนตามก้าวเดิน จาก สีแดง เป็นสี เหลือง สีเขียว สะท้อน สวยงามนั้นคือบริเวณทางจุดหลังวิหารที่อยู่ใกล้กับเสาหงษ์ ตามรูปด้างล่างจะเป็นมุมที่เห็นแสงเพชรประกาย

จากนั้นเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารที่ภัตตคารการะเวก ซึ่งไม่มีรูปประกอบนะคะ เพราะแบตหมดพอดี แล้วก็เดินทางกลับโรงแรมที่พัก เราพักที่ย่างกุ้งโรงแรม Millennium Hotel Yangon โรงแรมเดียวกับที่พักคืนแรก แต่คืนนี้เราได้ห้องเตียงDouble Bed เลยขอเอารูปมาโชว์เพิ่มเติมนะคะ

ภายในห้องพักสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันค่ะ

เช้าวันที่ 2 ม.ค. เราก็ออกจากโรงแรมตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อมาวัดเจดีย์โปตาทาวน์ ตรงข้ามโรงแรมนั้นเองค่ะ

วัดเจดีย์โปตาทาวน์ เป็นวัดแรกของเมืองย่างกุ้ง ซึ่งคำว่า โปหรือโบ แปลว่านายทหาร ส่วน ตาทาวน์ แปลว่า 1,000 สืบเนื่องจากในสมัยพุทธกาลพระเจ้าโอกะลาปะ ได้รับสั่งให้ทหาร1,000 นายตั้งแถวถวายความเคารพพระเกศาธาตุ เมื่อครั้งที่พ่อค้า 2 พี่น้องนำมาถวายให้และเป็นวัดที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุก่อนการสร้างเจดีย์ชเวดากอง ต่อมาเมื่อพระเกศาธาตุทั้ง 8 เส้นได้ไปประดิษฐานที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองแล้วนั้น ได้มีการบูรณะเจดีย์โปตาทาวน์แห่งนี้ และได้พบพระเกศาธาตุอีก 1 เส้น ภายใต้ฐานองค์พระเจดีย์

และได้อันเชิญมาประดิษฐานภายในองค์พระเจดีย์ เราสามารถมองเห็นพระเกศาธาตุได้อย่างชัดเจนภายในองค์พระเจดีย์แห่งวัดโปตาทาวน์แห่งนี้ค่ะ

และวัดนี้ยังมีจุดไหว้ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมมาขอพรคือ นัตโบโบยี หรือที่คนไทยเรียกกันว่าเทพทันใจ การขอพรนัตโบโบยีนั้น จะต้องซื้อชุดไหว้บูชาในราคา 3,000 จั๊ต จากนั้นก็ยกเครื่องบูชาอธิฐานและขอพรได้เพียง 1 ข้อ และวางบนโต๊ะหน้านัตโบโบยี นำผ้าในชุดเครื่องไหว้คล้องที่แขนของนัตโบโบยี จากนั้นนำแบงค์ 2 ใบ ม้วนซ้อนกันแล้วสอดไปที่ฝ่ามือของนัตโบโบยีที่ชี้ไปทางเนินเขาเสนคุตตะระเพื่อบอกทางให้ไปสร้างพระมหาเจดีย์ชเวดากองนั้นเอง แล้วเอาหน้าฝากแตะที่นิ้วชี้ของนัตโบโบยีจากนั้นย้ำคำขอพรอธิฐานอีกครั้งพร้อมกับอธิฐานว่าทรัพย์ที่ข้าพเจ้านำมาถวายนั้น ข้าพเจ้าขอเก็บไปเป็นขวัญถุงเป็นศิริมงคลใบหนึ่ง แล้วก็นำเงินออกมา 1 ใบยอดใส่ตู้ด้านข้าง อีก 1ใบเก็บเป็นเงินขวัญถุงยอมรับว่าทัวร์ไทยมาขอเยอะจริงๆค่ะ ตอนนี้นิ้วของนัตโบโบยีถึงกับหักเลย

เมื่อออกมาจากเจดีย์โปตาทาวน์ตรงข้ามจะเป็นอาคารสีเขียว ภายในมีนัตอีกองค์คือ อะมาดอว์เมียะ หรือ เทพกระซิบ ซึ่งถ้าสิ่งที่อยากขอมีหลายขอ ขอพรกับนัตโบโบยีไม่หมด เรื่องที่เหลือก็มากระซิบขอจากนัตอะมาดอว์เมียะ เครื่องบูชาชุดเล็ก 1,000 จั๊ต จะมีนมให้เจาะแล้วถวายให้นัตอะมาดอว์เมียะ จากนั้นเอาดอกไม้ถวายและกระซิบคำอธิฐานขอ และห้ามบอกใคร จะได้สำเร็จสมหวังดั่งใจ

แล้วเราก็ออกเดินทางไปยังเมืองสิเรียม หรือปัจจุบันชาวพม่าจะเรียกเมืองนี้ว่าตะหยี่นซึ่งอยู่ห่างจากเมืองย่างกุ้งไป 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. เมื่อไปถึงเราจะนั่งเรือข้ามไปยังเกาะกลางแม่น้ำเพื่อไหว้พระกันที่วัดเยเลพญา

เจดีย์เยเลพญา หรือคนพม่าเรียกเจ๊าตันเยเลพญา Kyauktan Yele Paya คำว่า เจ๊าตันเป็นชื่อเมือง เจดีย์นี้สร้างโดยคหบดีชาวมอญ ช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนลงเรือจะต้องซื้อชุดไหว้บูชา ราคา 1,000 จั๊ต เพราะเมื่อข้ามมายังฝั่งนี้แล้วจะไม่มีจำหน่าย เริ่มจากไหว้พพระประธานของวัด แล้วเดินเวียนขวาใต้องค์พระเจดีย์

จากนั้นเราก็ไปไหว้พระอุปคุต พระแห่งโชคลาภและคุ้มกันภัยทั้งปวง รูปเคารพที่สร้างขึ้นแทนพระอรหันต์สาวกสำคัญรูปหนึ่ง ซึ่งได้รับการยกย่องว่า มีความเป็นเลิศทางอิทธิฤทธิ์ ในสมัยหลังพุทธกาล

และเราก็เดินทางอาคารด้านข้างของพระเจดีย์ พระพุทธรูปองค์กลางขอพรได้สมใจ คนไทยเข้าใจผิดว่าเป็นเทพทันใจอีกองค์ค่ะ เจดีย์เยเลพญามักจะมีพ่อค้ามาทำการขอพรเรื่องการค้าขายให้กิจการรุ่งเรื่อง

และเราก็เดินทางกลับมาที่ย่างกุ้งรับประทานอาหารกลางวันและเดินทางต่อไปไหว้พระพุทธไสยาสน์เจ๊าทัตจี Chauk Htat Gyi หรือที่คนไทยเรียกกันว่าพระนอนตาหวาน

เจ๊าทัตจี องค์ที่เห็นนี้ บูรณะสร้างขึ้นใหม่ในปีค.ศ. 1966 แทนที่องค์เก่าที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1907 แต่เดิมนั้นชาวพม่าเล่าว่า พระนอนองค์นี้ไม่ได้มีพระพักตร์งดงามดั่งเช่นที่เห็นแต่หลังจากพม่าได้รับเอกราชแล้ว การสร้างปั้นพระพักตร์ก็ออกมางดงาม พระเนตรทำจากแก้วซึ่งสั่งผลิตพิเศษจากประเทศญี่ปุ่น ความยาวขององค์พระ ยาว 65 เมตรและตั้งอยู่ในโครงสร้างเหล็กที่มีหลังคา 6 ชั้น สังเกตุที่พระเนตร ขนตายาวทำให้คนไทยเรียกเจ๊าทัตจีกันว่าพระนอนตาหวาน

พระบาทมีภาพลายลักษณธรรมจักรบริเวณใจกลางฝ่าพระบาท ล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ

และเราก็มาไหว้พระเขี้ยวแก้วกันที่วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี หรือ Swe Taw Myat Pagoda ซึ่งได้อันเชิญมาจากประเทศจีน

ลักษณะองค์เจดีย์สวยแปลกตากว่าวัดอื่นในเขตเมืองย่างกุ้ง สถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างศิลปะในสมัยพุกามและศิลปะในยุคต่างๆ ของพม่าไว้ด้วยกัน ลักษณะเด่นคือเป็นเจดีย์ทรงปราสาทแปดเหลี่ยม ปลายยอดเจดีย์ประดับด้วยทองคำแท้

จากนั้นเราก็ไปไหว้พระหินอ่อนกันต่อที่วัดเจ้าดอจี พระพุทธรูปแกะสลักจากหินอ่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพม่า ช่างแกะสลักจากเมืองมัณฑะเลย์ หินอ่อนสีขาว พระพุทธรูปมีความสูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต น้ำหนักกว่า 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านข้างพระพุทธรูปด้วย

ด้านหลังองค์พระนั้นบางคนจินตนาการว่าเป็นรูปพระภิกษุกำลังเดินเข้าไปในองค์พระหินอ่อน บางคนมองเป็นเศียรพระพุทธรูปตามแล้วแต่จินตนาการ

เด็กน้อยชาวพม่ากำลังบริจาคเงินตามกำลังศรัทธาให้วัดเจ้าดอจี

แล้วเราก็เดินทางไปยังสนามบินย่างกุ้ง ระหว่างทางแซะรูปนางแบบโฆษณาซักหน่อย ปกติแล้วป้ายโฆษณาจะไม่ค่อยเห็นลูกครึ่งฝรั่งเท่าไร ดารานายแบบ นางแบบพม่าส่วนใหญ่จะเป็นชนกลุ่มน้อย ถ้านักร้องจะเป็นพวกกระเหรี่ยง แต่ถ้าดารามักจะเป็นไทยใหญ่นั้นเอง แต่สาวคนนี้ลูกครึ่งสวยเชียวค่ะ

แล้วก็เดินทางมาถึงสนามบินย่างกุ้งทำการเช็คอินกันเลยค่ะ เครื่องออกเวลา 16.30 น. จะกลับถึงเมืองไทยเวลา 18.15 น.

หลังจากเช็คอินก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบนค่ะเพื่อผ่าน ตม.

หลังผ่านตม.ก็จะเป็นร้านค้า มากมาย ส่วนใหญ่ก็จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองค่ะ

และก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว ขากลับเป็นแอร์บัส เอ320 ค่ะ จบการเดินทางทัวร์พม่า

คำแนะนำเพิ่มเติม

1.ไม่ควรแลกเงินดอลลาร์ไป ถือเงินไทยไปแลกกันไกด์พม่าเลยค่ะ เค้ามีให้แลกคนละ 1,000 บาท สบายแลกแล้วก็เอาไว้จ่ายค่ากล้องวัดละ 300 จั๊ต บางวัดก็ไม่เก็บค่ะ และก็พวกดอกไม้ เครื่องไหว้บูชา จะได้จ่ายเงินจั๊ตสบายใจ

2.เงินพม่านั้นคิดง่ายๆ แบงค์ 1,000 จั๊ตจะประมาณ 38-40 บาทไทยค่ะ เขียวมาเราก็คิดว่านี้คือ 40 บาทจะได้คำนวนง่ายๆไม่งงนะคะ

3.โรมมิ่งไม่จำเป็นต้องเปิดไปค่ะเพราะต่างจังหวัดสัญญานไม่ครอบคลุมไปใช้อินเตอร์เน็ตฟรีตามร้านอาหารโรงแรม โดยขอรหัสได้เลยค่ะ แต่ถ้าคนเล่นเยอะจะช้าหน่อยค่ะ

4.ควรเตรียมทิชชู่เปียกหรือผ้าเช็ดเท้าไปด้วยนะคะ เพราะว่าถอดเดินตั้งแต่ถนนก็มี และควรใส่รองเท้าเตะค่ะ

5.คนพม่าส่วนใหญ่พูดไทยได้บ้างค่ะ เพราะเค้าเคยมาค้าแรงงานบ้านเราเลยพอได้ภาษาไทยทำเราอบอุ่นใจดี แต่แอบหวั่นอนาคตถ้าเค้าพัฒนาไปมากกว่านี้ และแรงงานพม่ากลับบ้านหมด เราจะคาดแรงงานซะมากกว่า ต้นทุนการผลิตเราคงสูงงงงงง ค่าแรงแพง

6.บางสถานที่โรงแรมอาจไม่ดีที่สุดแต่การเดินทางไปทำบุญไหว้พระ อยากให้เราใส่แรงศรัทธาลงไปค่ะ เพราะในขณะที่เรานอนอุ่นในโรงแรมบนพระธาตุอินทร์แขวน แต่คนพม่า นอนกลางลาน ไม่มีแม้แต่กำแพงป้องกันลม มีเพียงผ้าห่มผืนบางๆ ห่มกายในอุณหภูมิที่หนาวเย็น

7.สุดท้ายแล้วเอาบุญมาฝากทุกคนนะคะ ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้นะคะ ไว้เจอกันใหม่รีวิวหน้านะคะ

ทัวร์พม่า


บทความที่เกี่ยวข้อง