logo
image

icon-travel-2 พม่า เมืองแห่งพุทธศรัทธา เมืองแห่งประวัติศาสตร์

พม่า เมืองแห่งพุทธศรัทธา เมืองแห่งประวัติศาสตร์

พฤศจิกายน 29, 2019
แชร์ :

สวัสดีคร้า วันนี้มนจะพาทุกท่านไปเที่ยวเมืองมัณฑะเลย์และเมืองสกายน์ ประเทศพม่า ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ และยังมีความสำคัญกับประวัติศาสตร์พม่าอีกด้วยค่ะ ทริปนี้จะเดินทาง 13-15 พ.ค. 60 จำนวน 3 วันค่ะ สายการบินที่เราใช้ คือ สายการบิน Myanmar Airways International (8M) ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติของประเทศพม่าค่ะ

เมืองมัณฑะเลย์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี อดีตเมืองหลวงที่สำคัญของประเทศพม่า ก่อตั้งโดยกษัตริย์มินดงในปี พ.ศ. 2400 แต่ภายหลังจากที่พม่าได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2428 ทำให้เมืองแห่งนี้ลดความสำคัญลงไป

แต่ทว่าปัจจุบัน เมืองมัณฑะเลย์ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศพม่า โดยมีขนาดประชากรที่มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ และมีความสำคัญทั้งในแง่ของศิลปะ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว

พระเจ้ามินดง ผู้สร้างเมืองมัณฑะเลย์

ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1.30 ช.ม. ก็ถึงเมืองมัณฑะเลย์แล้วค่ะเมื่อมาถึงสนามบิน ผ่านตม. และตรวจกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองมัณฑะเลย์กันค่ะ เงินของพม่าจะใช้สกุลจ๊าตกันนะคะ และอย่าลืมปรับเวลากันด้วยนะคะ เวลาของประเทศพม่าช้ากว่าไทยครึ่งช.ม. ค่ะ

เรามาเริ่มสถานที่แรกกันดีกว่าคร้า ยอดเขา Mandalay Hill เขาลูกนี้สูง 240 เมตร ซึ่งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองมัณฑะเลย์ได้เกือบทั้งเมือง ก่อนขึ้นยอดเขา เราจะต้องเปลี่ยนรถเป็นรถสองแถวกันก่อนนะคะ

รถสองแถวขึ้นยอดเขาค่ะ

วัดบนยอดเขามัณฑะเลย์

วิวทิวทัศน์บนยอดเขาค่ะ

หลังจากลงมาจากยอดเขาแล้ว เราก็ไปต่อกันที่วัดกุโสดอกันค่ะ

วัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ทำการ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 มีแผ่นศิลาจารึกพระไตรปิฎกทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม

บริเวณรอบๆเจดีย์จะมีต้นพิกุลมากมายเรียงรายกันอยู่โดยรอบ ในจำนวนนี้จะมีอยู่ต้นหนึ่งที่อายุเก่าแก่ที่สุดกว่า 250 ปีขนาดลำต้นใหญ่ประมาณ 10 คนโอบ

หน้าทางเข้าวัดจะมีชาวบ้านนำดอกไม้พวงมาลัยมาขาย ราคาประมาณ 500 จ๊าต ค่ะ

จากนั้นก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็นกันค่ะ ร้านอาหารไทยร้านนี้มีชื่อว่า Ko’s Kitchen Restaurant อาหารส่วนมากจะเป็นอาหารไทยเสริฟพร้อมกับน้ำพริก รสชาติถูกปากคนไทยแน่นอนค่ะ

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเข้าสู่ที่พักกันค่ะ ที่พักของเรามีชื่อว่า Geatwall Hotel อยู่ใจกลางเมืองมัณฑะเลย์ เป็นที่พักระดับ 3 ดาว มีบริการอาหารเช้า สปา และ Wifi

คืนนี้พักผ่อนกันให้เต็มที่นะคะ พรุ่งนี้มาลุยกันต่อคร้า Zzzzzz

อรุณสวัสดิ์วันที่สองค่ะ วันนี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวรอบเมืองมัณฑะเลย์กันค่ะ

สถานที่แรกที่เราจะไปคือ พระราชวังมัณฑะเลย์

พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace) ถูกก่อสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้ามินดง ระหว่างปี ค.ศ. 1857-ค.ศ. 1859 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมระปุระมายังมัณฑะเลย์ เพื่อหนีทหารของจักรวรรดิอังกฤษ ระหว่างสงครามพม่า-อังกฤษ ตามความเชื่อเป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิด พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า

บริเวณทางเข้าพระราชวังมัณฑะเลย์ค่ะ

ไกด์ท้องถิ่นประจำทริปนี้ชื่อว่า ไกด์แสงค่ะ
ไกด์แสงจะคอยบรรยายข้อมูล ประวัติศาสตร์เรื่องเล่าต่างๆให้เราฟังกันค่ะ

หลังจากรับฟังเรื่องเล่าต่างๆจากไกด์แสงแล้ว เราก็ไปชม พระตำหนักไม้สักชเวนานจอง (Golden Palace Monastry) พระตำหนักนี้สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง รายละเอียดต่างๆจะเกี่ยวกับพุทธประวัติและทศชาติของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้ามินดงในปี พ.ศ.2400 แต่หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าธีบอ หรือ สีป่อ พระโอรสก็ทรงยกพระตำหนักนี้ถวายเป็นวัด ถือได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตของช่างหลวงชาวมัณฑะเลย์อย่างแท้จริง

พระตำหนักนี้แต่ก่อนจะเป็นไม้สักเคลือบด้วยทองคำทั้งหลัง แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป เจอทั้งแดด ทั้งฝน จึงทำให้ทองคำด้านนอกของพระตำหนักหลุดออกจนเกือบหมด เหลืออยู่แต่ด้านในของประตำหนัก

พม่าเป็นเมืองที่มีวัดเยอะมากค่ะ ดังนั้นเวลาเราไปไหว้พระ เราก็จะต้องเตรียมแผ่นทองคำเปลวเพื่อไปปิดทององค์พระ ที่นี่จึงมีโรงงานทำแผ่นทองคำเปลวค่ะ มนจะพาทุกท่านไปดูขั้นตอนการทำกันนะคะ

คนงานจะเริ่มจากการใช้ฆ้อนขนาดใหญ่ตีแผ่นทองขนาด 2.5 x 1 เซนติเมตร แผ่นทองคำเปลวที่ตีเสร็จสมบูรณ์แล้วจะบางมาก การตีแผ่นทองจะใช้ไม้ฆ้อนตีไปครึ่งชั่วโมงแล้วนำไปมาตัดให้ได้ขนาด ตีต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง นำกลับมาตัดให้ได้ขนาดอีกครั้ง แล้วค่อยนำไปตีต่ออีกห้าชั่วโมง

สุดท้าย คนงานนำแผ่นทองคำที่บางอย่างยิ่งนี้มาตัดให้ได้ขนาด 2.5 เซนติเมตร แล้วมัดรวมกันเป็นตั้ง ตั้งละ 10 แผ่น แผ่นทองขนาด 2.5 x 1เซนติเมตรนั้นสามารถนำมาตีเป็นแผ่นทองเปลวได้ราวหนึ่งห่อ

แวะรับประทานอาหารกลางวันกันค่ะ ร้านอาหารนี้มีชื่อว่า Tomyum Kong II –MDL เจ้าของร้านเป็นคนไทยค่ะ มีหลายสาขามาก อาหารที่ขึ้นชื่อคือต้มยำกุ้งค่ะ เสริฟพร้อมกับข้าวสวยและน้ำพริก อร่อยมาก ๆ ค่ะ

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เราก็จะเดินทางสู่เมืองสกายน์ ที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ บนยอดเขาสกายน์จะมีวัดตั้งอยู่บนยอดเขามากมาย แต่วัดที่เราจะไป วัดแรกคือวัดกวงมูดอร์ เป็นที่ตั้งของ เจดีย์ขนาดใหญ่ ที่มีความสุงกว่า 46 เมตร และมีเส้นรอบวงที่วัดได้กว่า 274 เมตร วัดนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1639 เพื่อวัตถุประสงค์ในการประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา โดยเป็นสถาปัตยกรรมแบบเจดีย์ทางระฆังคว่ำแบบสิงหล ซึ่งมีตำนานที่เล่าขานกันมาว่า ลักษณะของเจดีย์นั้นมีต้นแบบมาจากถันหรือหน้าอกของพระชายาคนโปรดของพระเจ้าต้าหลู่นั่นเอง ชาวพม่าจึงเรียกกันเล่นๆ ว่า เจดีย์นมนาง

บริเวณรอบ ๆ วัดจะมีร้านค้ามากมาย สินค้าที่ขึ้นชื่อจะเป็นไม้ทานาคาและผ้าถุง

จากนั้นนำท่านขึ้นไปยัง ยอดเขาสกายน์ฮิลล์ ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองแห่งนี้ และยังมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งว่ากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง บนยอดเขานี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองสกายน์ได้อย่างชัดเจน และยิ่งในเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน จะได้เห็นภาพของแสงอาทิตย์ที่ต้องกับเหล่าเจดีย์ที่รายล้อมเขาแห่งนี้อยู่

วัดที่สองที่เราจะชมกันคือ วัดเจดีย์อูมินทงแส่ ภายในมีพระพุทธรูป 45 องค์ประดิษฐานเรียงกันเป็นครึ่งวงกลม

จากนั้นเดินทางไปชมสะพานไม้อูเบ็งกันค่ะ สะพานไม้อูเบ็ง (U Bein Bridge) เป็นสะพานที่ทำจากไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ขณะเดินชมสังเกตุเสาไม้สะพานทอดยาว นึกย้อนถึงประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่นี่ ทำให้นึกถึงภาพสะพานไม้มอญอันสวยงาม ของชาวมอญ สร้างขึ้นโดยขุนนางผู้ใหญ่ชื่อ “อูเบ็ง” จึงเป็นชื่อ ที่นำมาเรียกเป็น ชื่อสะพานแห่งนี้

ได้เวลาอันสมควร จากนั้นแวะรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร Golden Duck Restaurant-MDL ร้านนี้จะเป็นสไตล์โต๊ะจีน อาหารจะผสมกันระหว่างอาหารจีนกับไทยค่ะ

หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็ได้เวลากลับโรงแรมกันค่ะ วันนี้ต้องรีบพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
คืนนี้นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ Zzzz

อรุณสวัสดิ์วันที่ 3 คร้า

วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเลยค่ะ ขณะนี้เป็นเวลา 03.30 น. ค่ะ และกำลังเดินทางไปนมัสการ พระมหามัยมุนี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปมีชีวิต เพราะชาวพม่าเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้มาประทานลมหายใจอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในพระวรกายของพระพุทธรูปองค์นี้ พระมหามัยมุนีจึงเป็นดังตัวแทนของพระพุทธองค์ที่มีชีวิตจิตใจ

พระมหามัยมุนี เป็นพระพุทธรูปหล่อทองสำริด ปางมารวิชัยทรงเครื่อง หน้าตักกว้าง 9 ฟุต สูง 12 ฟุต ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ “วัดมหามัยมุนี” หรือชื่อแท้ดั้งเดิมคือ วัดปยกยี (Payagyi) ที่หมายถึงวัดยะไข่ เพราะเดิมพระมหามัยมุนีประดิษฐานอยู่ที่เมืองยะไข่ บริเวณทางเข้าก็จะมีชาวบ้านนำดอกไม้พวงมาลัยและของใส่บาตรมาขาย

มีชาวบ้านจากหลากหลายพื้นที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเดินทางมาปิดทองกันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน มีการปิดทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ทองคำเปลวที่องค์พระพอกพูนจนพระวรกายอวบอ้วนมีตะปุ่มตะป่ำทั่วไปหมดทั้งด้านหน้าด้านหลัง จนเรียกขานท่านว่า “พระพุทธรูปทองคำเนื้อนิ่ม” หรือ “พระเจ้าเนื้อนิ่ม” พิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี จะเริ่มประมาณ 04.00 น. ของทุกๆวัน เจ้าอาวาสจะจัดพิธีล้างหน้า แปรงฟัน เหมือนกับคนเราให้ในทุกๆ เช้าของทุกวัน โดยไม่มีเว้นวันฝนตกหนักหรือวันหยุดพิเศษใดๆค่ะ

บริเวณในวัดยังมีพระสงฆ์และชาวบ้านมานั่งสมาธิ สวดมนต์ นับประคำ ส่วนผู้หญิงที่ขึ้นไปปิดทองไม่ได้ ทางวัดกันเขตไว้ ก็มีการเดินทางมากราบไหว้ นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำบุญ ทำทาน กันอยู่ทั่วไป เห็นภาพแล้วรู้สึกว่าชาวบ้านที่นี่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากค่ะ

หลังจากเสร็จพิธีล้างหน้าพระพัตร์ก็ได้เวลากลับโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเช้าและเตรียมเก็บของ Check out กันค่ะ

หลังจาก Check out เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับเมืองไทยสนามบิณมัณฑะเลย์จะไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ค่ะ หลังจากตรวจกระเป๋า ผ่านตม. กันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาพักผ่อนของแต่ละท่านกันค่ะ

ไฟร์ทบินนี้ถึงกรุงเทพฯประมาณบ่ายโมงกว่าๆค่ะ จบทริปนี้ด้วยความอิ่มบุญและความประทับค่ะ

………………………………………

ทัวร์พม่า


บทความที่เกี่ยวข้อง