“เดือนแห่งความรักคนโสดมักช้ำใจ แค่เกริ่นประโยคแรกก็สะเทือนใจละ หลายคนมีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ต้องทำในแต่ละวัน แต่ละเดือน บางคนใช้เวลาเป็นปีเพื่อจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ส่วนผมเองเลือกจะทำในสิ่งที่ผมรักในทุกๆเดือนที่มีโอกาสนั่นก็คือ “การเดินทาง” ผมใช้เวลาเตรียมการในทริปนี้ถึง 2 เดือน พลาดโอกาสการไปที่นี่กับเพื่อนถึง 3 ครั้ง จนมาครั้งนี้ผมตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องไปที่นี่ให้ได้สักครั้ง หลายคนคงสงสัยว่า นี่มึงจะไปไหน ? ทริปนี้ผมปักหมุดตอกตะปูเดินทางไปที่ “ดอยหลวงเชียงดาว” ผมทำการติดต่อทางเขตรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ค่าใช้จ่าย การเดินทาง และอื่นๆที่ผมจะต้องรู้ ผมเลือกเดินทางวันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2561 แต่ผมมีโอกาสที่จะได้ขึ้นดอยหลวงเชียงดาวแค่คืนเดียวเท่านั้น เพราะเขาจะปิดให้ธรรมชาติได้พักฟื้น ถึงแม้จะมีเวลาอันน้อยนิดให้ผม ผมก็จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือผมโดยเด็ดขาย เมื่อผมทราบวันที่ออกเดินทางแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจองตั๋วรถทัวร์ของ บขส. ปลายทางที่อำเภอเชียงดาว
ผมจองตั๋วแต่เที่ยวไป ส่วนเที่ยวกลับนั้นมันยังไม่แน่นอน เพราะบางทีผมอาจจะอยู่เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ต่ออีกสักคืนหรือสองคืน ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของผมนั่นแหละครับ
ก่อนออกเดินทางผมแวะไปซื้อของใช้เพิ่มเติมในการเดินทางในครั้งนี้ที่ร้าน Trekking Corner
ผมมาที่นี่เพื่อเลือกหาซื้ออุปกรณ์แคมปิ้งที่ยังไม่ครบในการเดินทางครั้งนี้ ขอเวลาซื้อของก่อนนะครับเดี๋ยวผมต้องรีบกลับไปจัดกระเป๋าอีก บ๊าย !
“วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 04:45 น.” ผมตื่นเช้ามากเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทำงาน ทุกๆครั้งที่ผมจะออกเดินทางผมจะต้องจัดตารางตัวเองมาเข้าเช้าแทบจะทุกครั้ง จนเพื่อนๆพี่ๆ ที่โรงแรมที่ผมทำงานต่างรู้กันว่า มันออกต่างจังหวัดอีกแล้ว
หลายคนไม่ค่อยได้เห็นผมในชุดทำงานเพราะคนส่วนใหญ่จะเห็นผมตอนเที่ยวมากกว่า และก็ไม่ต้องแปลกใจกันนะครับ “นี่ผมเอง” ไม่ต้องขยี้ตากันนะครับ เพราะจริงแล้วผมเป็นคนเรียบร้อย ผมขอตัวทำงานก่อนนะครับ เจอกันที่สถานีขนส่งหมอชิตครับ
“เวลา 15:00 น.” วันนี้ผมเปลี่ยนเวลาเข้างานเร็วขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะได้เลิกงานเร็วกว่าเดิม 1 ชั่วโมง ผมรีบซิ่งรถเวสป้าเพื่อเอารถกลับไปเก็บที่บ้าน ซึ่งระยะทางจากบ้านผมไปบ้านค่อนข้างไกล
“เวลา 16:30 น.” ผมเดินทางมาถึงสถานีขนส่งหมอชิตแล้วทันเวลาแถมยังเหลือเวลาให้ได้นั่งพักอีกตั้ง 20 นาทีก่อนที่รถจะออก ระหว่างที่ผมนั่งรอเวลารถออกจากสถานีขนส่งหมอชิตนั้นผมก็เดินเข้าไปหาของกินรองท้องที่ร้านสะดวกซื้อจากนั้นก็ไปนั่งรอรถที่ชานชาลาหมายเลข 117 สำหรับรถทัวร์ที่ผมโดยสารวันนี้ใช้รถของ กรุงเทพฯ-หล่มสัก มาให้บริการครับ
“เวลา 17:07 น.” รถทัวร์ออกช้ากว่าเวลาหน้าตั๋วนิดหน่อย ล้อหมุนพร้อมออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ จุดหมายปลายทางที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาว รถออกได้ไม่นานพนักงานต้อนรับก็นำอาหารมาแจกให้แล้วครับ
ระหว่างนั่งรถมาก็แอบเหงาเหมือนกันแฮะ แต่ก็บอกกับตัวเองเสมอว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มึงเดินทางคนเดียว งดดราม่า
ผมขอตัวนอนพักผ่อนก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไม่มีแรงขึ้นดอย ถ้าตื่นตอนไหน ถึงไหนแล้วผมจะอัพเดตให้ทุกๆคนได้ทราบกันนะครับ
“เวลา 22:15 น.” รถทัวร์ที่ผมโดยสารมาจอดพักให้ผู้โดยสารกินข้าว พักผ่อน 30 นาที ผมเปลี่ยนเอาเวลาที่ผมจะไปกินข้าวนั้นเปลี่ยนเป็นการหาที่ชาร์จแบตเตอรรี่โทรศัพท์แทน และผมก็มาเจอปลั้กที่สามารถชาร์จได้อยู่หน้าห้องน้ำ จากนักท่องเที่ยวกลายเป็นเด็กเฝ้าห้องน้ำทันที และเมื่อครบเวลา 30 นาทีที่กำหนดไว้ทุกคนต่างพากันขึ้นรถและออกเดินทางกันต่อ ทีนี้ผมจะหลับจริงๆแล้วนะ
“วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 05:40 น.” รถทัวร์ของ บขส. เดินทางมาถึงจุดจอดรถที่อำเภอเชียงดาว(หน้าโรงแรมเชียงดาวอินน์) พอผมลงจากรถร่างกายผมสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บ ชนิดว่าควันออกปาก ผมรีบนำกระเป๋ามาเปิดเพื่อนำเสื้อกันหนาวมาใส่โดยทันที
ผมนั่งรอคนขับรถที่ผมได้จองไว้กับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวมารับครับ ผมใช้เวลาในการรอคนขับรถมารับไปซื้อของใช้ที่จำเป็นที่ร้านสะดวกซื้อ ก่อนขึ้นไปบนดอยหลวงเชียงดาว
“เวลา 07:14 น.” และในที่สุดก็ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ ที่คนขับรถมารับผมแล้ว ผมรู้สึกดีใจมาก แววตาเป็นประกายยังกับการ์ตูนญี่ปุ่น ผมจะได้ไปขึ้นดอยหลวงเชียงดาวแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาตารางวันหยุดผมมันไม่สอดคล้องกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาว
หลังจากที่ผมและคนขับรถได้เจอกันแล้ว เขาก็พาผมซื้อของกินที่ตลาดเช้าอำเภอเชียงดาว (อ่อๆคนขับรถชื่อ (ลุงมา) ก่อนที่จะพาผมไปทำหนังสือขออนุญาติเพื่อขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ระหว่างทางที่ลุงมาขับรถแกก็เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมาย แถมยังบอกผมด้วยว่าอยากถ่ายรูปตรงไหนบอกลุงได้เลยเดี๋ยวลุงจอดให้ การบริการเยี่ยมนะครับลุงมา ฮ่าๆ
“เวลา 07:48 น.” ลุงมาขับรถพาผมมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียวดาวแล้วครับ
ขับขึ้นไปด้านบนอีกนิดเดียวก็จะถึงที่ทำการซึ่งเป็นที่ที่ผมจะต้องไปเจอกับลูกหาบและทำเรื่องขออนุญาติเพื่อขึ้นยอดดอย ผมนั่งรอเวลาเปิดทำการพลางกินอาหารเช้าที่ซื้อมาจากตลาด ไม่ต้องสงสัยว่าผมกินอะไรง่ายสุดคือ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไงล่ะครับ
“เวลา 08:00 น.” เป๊งๆ เป๊งๆ ได้เวลาทำเรื่องขออนุญาติขึ้นดอยกันแล้ว…จร้า
ผมจ่ายค่าเข้า + ค่าบริการอื่น เป็นเงิน 120 บาทและมีค่ามัดจำขยะอีก 1,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่จะสอบถามว่าเรามีอะไรขี้นไปบ้างเช่น น้ำกี่ขวด ? ทิชชู่เปียกกี่ห่อ ? มาม่ากี่ถ้วย/ซอง ประมาณนี้ครับ ขากลับเรานำขยะมาด้านล่างค่อยรับเงินคืน
“เวลา 08:15 น.” เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมก็ออกเดินทางต่อไปยังทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาว
ลูกหาบผมชื่อ “พี่หญ้า” พี่แกจะหาบของให้ผมทั้งขาขึ้นและขาลง จำกัดน้ำหนักไว้ที่ 20 กิโลกรัมถ้าเกินก็จะคิดเพิ่ม ส่วนค่าตัวลูกหาบคิดเหมาเป็นวัน วันละ 500 บาท จากที่ทำการฯ ไปถึงจุดทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวที่เรียกว่า “เด่นหญ้าขัด” ใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมง ผมแนะนำให้นั่งหน้านะครับ ถ้าไม่อยากระบมไปทั้งตัว เพราะทางค่อนชัน ขรุขระ แถมฝุ่นเยอะอีกต่างหาก ไปครับ เดินทางกันต่อ
“เวลา 09:00 น.” ผมและชาวคณะเดินทางมาถึงจุดตรวจรับหนังสือขออนุญาติขึ้นดอยหลวงเชียงดาว
ลุงมาคนขับรถเป็นคนดำเนินการให้ผมทั้งหมดเลยครับ จากจุดตรงนี้ ผมต้องนั่งรถขึ้นไปอีกประมาณ 30 นาที เอา….ลุยกันเลย
“เวลา 09:25 น.” ผมเดินทางมาถึงหน่วยย่อยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวที่ หน่วยฯขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด)
ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาว ผมและลูกหาบจัดการเตรียมแพ็คกระเป๋า
ส่วนผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้น ก่อนเดินขึ้นลุงมาได้ฝากเบอร์โทรไว้ให้ผมโทรไปบอกแกตอนขาลงตอนที่เดินลงมาถึงสามแยกซึ่งเป็นจุดที่มีสัญญาณโทรศัพท์ จากนั้นผมก็แยกกับลุงมาและเดินไปตามความฝันของผม
จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้คือตามหาซากฟอสซิลหอยและพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาว แต่เราจะนอนพักแรมกันที่ลานกางเต็นท์ “อ่างสลุง”
“เวลา 09:40 น.” ผมและลูกหาบของผมเริ่มออกเดินเท้าสู่จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้
จากนี้ผมน่าจะใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณ 3-4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ความตั้งใจของผมคือถึงลานกางเต็นท์ให้เร็วที่สุดตามกำลังที่ผมไหวจะได้มีเวลาพักผ่อนมากๆ ก่อนขึ้นไปจุดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว ระหว่างทางผมจะพยายามอัพเดตเรื่องราวและสถานการณ์รวมถึงภาพสวยๆให้ทุกคนได้รับรู้ ตราบเท่าที่มีสัญญานโทรศัพท์
ในการเดินเท้าช่วงแรกผมต้องเดินฝ่าป่าหญ้าซะเป็นส่วนใหญ่ ก็มีโดนหญ้าบาด แสบๆ คันๆ บ้างเป็นเรื่องธรรมดา ลูกหาบผมเดินหาบสัมภาระผมอย่างคล่องแคล่ว
เราเดินกันมาเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพักจนผมเดินมาถึงช่วงทางที่เป็นหิน ซึ่งช่วงนี้ผมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากสะดุดหรือว่าเตะก้อนหินจนได้รับบาดเจ็บจะทำให้การเดินเท้าของเราลำบากเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
ลูกหาบของผมตะโกนบอกผมว่าเราจะหยุดพักกินน้ำกันข้างบนนี้ และถัดจากนี้ไปผมก็จะถึงสามแยกกันแล้ว ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนมาทันลูกหาบของผมที่หยุดพักดื่มน้ำอยู่
ผมและลูกหาบพักกันอยู่ตรงนี่แค่ไม่กี่นาทีก็ออกเดินเท้ากันต่อ ตอนแรกที่เริ่มเดินเท้าอากาศค่อนข้างเย็นถึงตอนนี้ตามร่างกายผมเริ่มมีเหงื่อซึมและไหลออกมาบ้างแล้ว แต่แค่นี้สำหรับผมสบายมากแต่ห้ามนึกถึงระยะทางนะเดี๋ยวท้อ ฮ่าๆ
“เวลา 10:45 น.” ตอนนี้ผมก็เดินเท้ามาถึงสามแยกที่ลุงมาบอกผมให้ผมโทรหาตอนขาลงแล้ว
นักท่องเที่ยวและลูกหาบนั่งพักกันอยู่ตรงนี้มากมาย บ้างก็โทรศัพท์หาคนขับรถให้มารับ บ้างก็นั่งดื่มน้ำ พักผ่อน
ลูกหาบผมบอกกับผมว่าให้เดินต่อขึ้นไปอีกหน่อยแล้วค่อยพักกันตรงนั้น ผมใช้เวลาในการพักผ่อนประมาณ 5 นาที ผมก็เริ่มออกเดินเท้าอีกครั้ง ก่อนออกเดินผมตกลงกับลูกหาบว่าให้ไปเจอกันที่จุดกางเต็นท์อ่างสลุงเลย
บรรยากาศข้างทางที่ผมเดินเท้าขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวครับ หนทางจากนี้ไปจะเป็นเนินลาดชันซะส่วนใหญ่แถมลื่นอีกต่างหากอีกทั้งยังไม่มีอะไรให้จับด้วย ฉะนั้นผมต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เป็นยังไงบ้างครับลูกหาบผม เดินคือแบบว่าสบายมาก ชิวๆ ซึ่งต่างจากผมในตอนนี้มากเหงื่อไหลไปทั้งตัวและใบหน้า จะก้าวขาแต่ละทีก็ยากเย็นแสนเข็น ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้ว่ะ
ดูกันเอาเองครับว่าผมเหนื่อยแค่ไหน ครั้นจะดื่มก็กลัวจะจุกท้องจนเดินต่อไม่ไหว ทำได้แค่จิบทีละนิดๆ ถึงตอนนี้ผมเดินเท้าอยู่คนเดียวแล้วส่วนลูกหาบผมก็กำลังตามมาอย่างห่างๆ ฝีเท้าในการก้าวเดินของผมช้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมไม่มีวันที่จะยอมแพ้อย่างแน่นอนครับ
“เวลา 11:22 น.” ผมและลูกหาบเดินมาถึงลานกางเต็นท์ “ดงน้อย”
ซึ่งตรงนี้นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ในกรณีที่ข้างบนเต็มหรือระหว่างทางที่เดินเท้ามาฟ้ามืดลงเสียก่อน รวมถึงเป็นจุดรวมพลของบรรดาพวกลูกหาบด้วยครับ
พี่หญ้าลูกหาบของผมบอกผมว่าเดินจากตรงนี้ก็อีกไม่ไกลก็จะถึงลานกางเต็นท์อ่างสลุงแล้ว ผมจึงออกเดินเท้าต่อ ทางที่ผมเดินต่อจากนี้ไปทางเดินจะเป็นหินและป่ารกชัฏ ระหว่างทางผมเจอนักท่องเที่ยวเดินสวนมากมาย พร้อมกับการทักทายอย่างเป็นมิตร รวมถึงกำลังใจเล็กๆ ผมเดินไปเรื่อยจนเริ่มได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เอ๊ะๆ หรือนั่นหมายความว่าเราใกล้ถึงแล้ว ผมจึงหยุดรอลูกหาบของผมเพื่อให้เขานำทางผมไปยังจุดกางเต็นท์
“เวลา 12:20 น.” โว้ๆ เย่ๆ ถึงแล้ว…..โว้ย !!!
และนี่ก็เป็นเต็นท์ของพวกลูกหาบครับ พวกพี่ๆเขาก็จะนอนใกล้ๆกัน ลูกหาบผมพาผมเดินถัดไปอีกนิดหนึ่งก็จะถึงเต็นท์ของพี่เขา
ถึงแล้วครับที่ซุกหัวนอนของผมในค่ำคืนนี้ ผมบอกลูกหาบผมให้วางของไว้ตรงนั้นเลยที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง ส่วนตอนนี้ผมขอนั่งพักและหาอะไรกินเพื่อเติมพลังก่อนครับ
จัดขนมปังหน้าเนยสดก่อนเลยครับเดี๋ยวไม่มีแรงกางเต็นท์ หลังจากกินขนมปังจนหมด ผมก็เช็ดหน้าเช็ดตา แล้วผมก็รื้อกระเป๋าและนำเต็นท์ของผมออกมากาง
เสร็จแล้วบ้านน้อยของผม ส่วนที่เห็นผ้าใบสีฟ้าด้านหลังก็เป็นเต็นท์ของพี่หญ้าลูกหาบของผมเอง ผมจัดของต่างๆเข้าไว้ในเต็นท์ จัดมุมให้เหมาะสมกับการหยิบจับข้าวของเครื่องใช้ อีกอย่างที่ผมทำไว้คือถังขยะ
จะได้ทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง อีกอย่างต้องนำลงไปทิ้งด่านล่างเพื่อขอคืนเงินมัดจำด้วย เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วผมขอตัวพักผ่อนนอนหลับก่อนนะครับ ผมมีนัดขึ้นไปยอดดอยหลวงเชียงดาวกับลูกหาบตอน 4 โมงเย็น นอนก่อนนะ
“เวลา 13:20 น.” ผมตื่นขึ้นมาและได้เจอพี่คนหนึ่ง (พี่เขาชื่อพี่ไพริน) ที่แกก็มาคนเดียวเหมือนกันหาที่กางเต็นท์อยู่ ผมจึงบอกพี่เขาให้เลือกตามความชอบเลยพี่ว่าอยากกางตรงไหน พลางก็ได้นัดเวลาขึ้นไปยอดหลวงเชียงดาวด้วยกันเลย ถัดไปจากการสนทนาระหว่างผมกับพี่ไพริน ผมได้ยินเสียงคนกำลังหายืมอะไรสักอย่าง ซึ่งผมมีของที่เขาคนนั้นต้องการนั่นก็คือผ้าใบกันฝนกันน้ำค้าง ผมคิดดูแล้วผมมีความจำเป็นที่จะใช้น้อยกว่าผมจึงให้เขายืมไป ซึ่งบุคคลที่ผมกล่าวถึงทั้งหมดนี้ผมเจอตั้งแต่จุดลงทะเบียนด้านล่างแล้ว ผมจึงไม่มีความกังวลใจใดๆที่จะไม่ให้หยิบยืมและตั้งแต่นั้นผมก็สัมผัสได้ถึงคำว่า “มิตรภาพ” มันได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว ทุกคนนัดกันขึ้นไปยอดดอยหลวงเชียงดาวพร้อมกัน ถ้าใครช้าเจอกันด้านบน เมื่อการสนนทนาจบลงผมมุดตัวเข้าเต็นท์เพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง
“เวลา 16:23 น.” ผมกับพี่ไพรินออกเดินเท้าขึ้นดอยหลวงเชียงดาวก่อน ใช้เวลาเดินน่าจะเกือบ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ ระยะทางตอนแรกๆก็เดินง่ายอยู่ครับ
แต่ช่วงสุดท้ายที่จะขึ้นสู่ก่อนถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวนั้นถือว่าชันมากๆ อีกทั้งทางเดินขึ้นก็เป็นดินและลื่นอีกต่างหาก
ดูกันเอาครับว่าทางเดินขึ้นมันยากลำบากแค่ไหน ถ้ามีต้นไม้ให้จับมันก็ไม่ยากเย็นขนาดนี้
ถัดจากทางเดินนี้ผมก็จะถึงยอดดอยแล้วครับ ผมรีบเร่งฝีเท้าให้เพื่อจะได้ไปถึงก่อนและที่สำคัญจะได้ถ่ายรูปก่อนใคร
“เวลา 17:18 น.” ในที่สุดผมก็พิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาวที่มีความสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ได้สำเร็จ
ยอดดอยหลวงเชียงดาวสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางโดยประมาณ 2,225 เมตร ผมถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอเวลาไปเล่น Ig กับ Facebook ก่อนนะครับเนื่องจากด้านบนนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ ช่วงนี้เข้าสู่โหมดสังคมก้มหน้า หลังจากเล่น Ig กับ Facebook เสร็จผมก็เดินหามุมถ่ายภาพและหามุมที่รอดูพระอาทิตย์ตกด้วยครับ
พื้นที่ด้านบนส่วนใหญ่เป็นหินทั้งหมด ส่วนพืชที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้นก็จะเป็นพืชทนแล้ง เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้านักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยขึ้นมากันอย่างหนาตาครับ
ผมนั่งรอเวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า พลางเป็นตากล้องจำเป็นให้คนอื่นเขาบ้าง
“เวลา 18:19 น.” ได้เวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าส่งหน้าที่ส่องแสงสว่างต่อให้พระจันทร์
ท้องเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็นลงจนรู้สึกได้เลยว่าหนาว ผมจึงรีบเดินลงมายังด้านล่างแต่เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เยอะและทางลงที่สูงชัน จึงทำให้การเดินลงของผมไม่ได้เร็วอย่างใจคิด ระหว่างทางลงมาผมและพี่ไพรินตกลงจะร่วมวงกินข้าวด้วยกันรวมถึงคนที่มายืมผ้าใบผมด้วย(เดี๋ยวค่อยถามชื่อตอนกินข้าวกัน) หลังจากลงมาถึงเต็นท์แต่ละคนก็นำอาหารที่แต่ละคนเตรียมมารวมกัน ผมจัดการต้มน้ำเพื่อต้มมาม่า
“เวลา 19:12 น.” น้ำเดือดอาหารการกินพร้อม ปาร์ตี้มาม่าเริ่มได้ ฮ่าๆ
การกินก็ดำเนินไป ทีนี้เรามาทำความรู้จักบุคคลในภาพกันบ้างไล่จากซ้ายไปขวานะครับ ผม(ซ้ายสุด) , พี่ไพริน(ถัดจากผม) , พี่มาร์(ผู้หญิง) , คุณเก่ง(ขวาสุด) ทุกคนกินไป คุยกันไป แชร์ประสบการณ์เรื่องการท่องเที่ยวที่แต่ละคนได้ไปประสบพบเจอมาอย่างสนุกสนาน พลางแหงนหน้าขึ้นฟ้าดูดาว พอกินกันจนอิ่มแล้วก็เคลียร์พื้นที่และทุกคนก็นอนดูดาวกันอย่างสบายอกสบายใจ ขอบอกเลยว่าดาวเต็มท้องฟ้าและใกล้พวกเรามาก บางจังหวะมองๆไปพวกเราก็เห็นดาวตก นอนกันอยู่สักพักก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอน ก็มีลูกหาบคนหนึ่งชื่อ “ลุงดำ” ซึ่งตอนหลังคุณเก่งตั้งชื่อให้ว่า “ลุงดำ อาปาเช่” แกเขามาบอกว่าด้านบนถัดจากที่เรานั่ง-นอนกันอยู่นั้นจะมีเลียงผาออกมาหาอาหารในตอนกลางคืน แต่พวกเราไม่เห็นหรอกครับ ลุงดำสร้างความสนุกสนานและความบันเทิงให้กับพวกเรามาก ใครอยากรู้ว่าฮาแค่ไหนต้องไปที่ดอยหลวงเชียงดาวเองครับ แต่บอกได้คำเดียวฮามากๆๆๆๆ
“เวลา 21:34 น.” หลังจากได้รับความเฮฮาจากลุงดำแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันนอน แต่ก่อนแยกย้ายพวกเรานัดหมายกันว่าพรุ่งนี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สันกิ่วลม นัดหมายกันที่เวลาตี 4 ผมกับคุณเก่งไปกันแน่ๆ พี่ไพรินขอดูอากาศตอนเช้าอีกที ส่วนพี่มาร์ไม่ไปและไม่ต้องปลุก ได้เวลาแยกย้ายเจอกันพรุ่งนี้เช้าครับ
“เวลา 22:15 น.” ผมใช้เวลาที่ยังไม่ค่อยง่วงนอนสักเท่าไหร่จัดของลงกระเป๋าพรุ่งนี้จะได้ไม่วุ่นวาย หลังจากนำของบางส่วนลงกระเป๋าเสร็จ ผมก็จัดการเช็ดตัวด้วยทิชชู่เปียกเพื่อทำความสะอาดร่างกายที่เหนื่อยโทรมมาทั้งวัน พอเสร็จอาการง่วงนอนก็มาเยือนผมแล้ว
ขอบอกเลยนะครับว่าอากาศบนดอยหลวงเชียงดาวคืนนี้หนาวมากๆ ผมว่าเลขตัวเดียว ไม่งั้นก็ 10 องศาต้นๆแน่เลย เล่นเอาผมนอนไม่เป็นสุขเลยครับเนื่องผมไม่มีอะไรเลยนอกจากผ้าห่มผืนเล็กๆผืนเดียวเท่านั้น ผ้าปูรองนอนก็ไม่มี ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ เจอกันตอนเช้ามืดครับ ฝันดีครับ
“วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 04:23 น.” ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 4 ซึ่งมันก็ดังตามปรกติของมันแต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่ลุกออกจากเต็นท์คืออากาศที่หนาวเหน็บจนไม่อยากจะขยับตัวออกไปไหน แต่ช่วงที่ผมนอนอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงคุณเก่งกำลังเรียกพี่ไพริน ซึ่งแกปฏิเสธ ผมจึงตะโกนบอกคุณเก่งว่าผมไปๆ รอก่อน สรุปไปกัน 2 คน ผมนำทิชชู่เปียกมาเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อเรียกความสดชื่น จากนั้นเตรียมอุปกรณ์ในการเดินขึ้นไปสันกิ่วลม ไม่ว่าจะเป็น ไฟฉายคาดหัว , กล้อง และใจที่พร้อมจะเดินขึ้นที่สูงกันอีกครั้ง ผมกับคุณเก่ง เดินผ่านป่า ปีนป่ายก้อนหินเพื่อขึ้นไปให้ถึงจุดมุ่งหมายให้ได้ ผมขอตัวเดินกันก่อนนะครับ
“เวลา 05:20 น.” เราเดินเท้าขึ้นมาถึงสันกิ่วลมแล้ว ท้องฟ้าก็ยังมืดอยู่ เราจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งตากลมหนาวรอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาทักทาย นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยขึ้นมาจับจองที่นั่งหามุมดีๆ เพื่อถ่ายภาพกัน วันนี้ดูมีเมฆอาจจะทำให้การขึ้นของพระอาทิตย์ช้าไปกว่าเดิม
ฟ้าเริ่มสางแล้ว เราเริ่มเห็นองค์ประกอบมากขึ้นในการถ่ายภาพ
เรานั่งรอเวลาไปเรื่อยๆ รอแล้ว รอเล่า จนในที่สุดแสงจากพระอาทิตย์ก็เริ่มส่องแสงให้เห็นบ้างแล้วละครับ
แต่เจ้าดวงจันทร์ยังไม่หลบไปไหน ยังส่องแสงทำหน้าที่ของมันจนนาทีสุดท้าย
“เวลา 07:08 น.” สิ้นสุดการรอคอยแล้วครับ เจ้าพระอาทิตย์ก็เผยโฉมออกมาให้พวกเราเเละนักท่องเที่ยวคนอื่นๆได้เห็นและได้รับไออุ่นจากดวงอาทิตย์กันแล้ว
มันช่างมันภาพที่สวยงามมาก นักท่องเที่ยวทุกคนพร้อมใจกันหยิบกล้องขึ้นมาและลั่นชัตเตอร์แบบรั่วๆกันเลยมีเดียว ผมก็เช่นกัน
แดดเริ่มร้อนแล้ว ถ่ายภาพก็หนำใจพอสมควรแล้ว เราจึงตัดสินใจเดินเท้ากลับไปที่เต็นท์กัน แต่ก่อนเดินลงไปเราไปเจอนักท่องเที่ยว 2 คนที่เราเจอกันเมื่อวานตอนไปรอดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ากัน
พวกเราจึงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งพวกเราได้มาพบเจอ ได้มารู้จักกัน ในจุดที่สูงที่สุดจุดหนึ่งของประเทศ จากนั้นก็แยกย้ายกัน ผมกับคุณเก่งเดินกลับลงมาด้านล่างและแยกย้ายกันไปเก็บของ นัดเวลาเดินลงจากยอดดอยหลวงเชียงดาวกัน
“เวลา 08:07 น.” หลังไปดูพระอาทิตย์แล้วผมก็แยกกลับมาที่เต็นท์เพื่อทำการเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินเท้ากลับลงไปด้านล่าง
แต่ก่อนลงพวกเราทั้ง 4 คนนัดกันกินมาม่ากันที่เต็นท์ของคุณเก่งและพี่มาร์
“เวลา 08:30 น.” พวกเรามารวมตัวกินอาหารเช้าก่อนเดินเท้าลงไปด้านล่าง วันนี้เรากะเดินลงตอนเวลาประมาณ 9 โมง ระหว่างที่พวกเรานั่งกินอาหารเช้านั่งคุยกันโดยมีเสียงกรนของเต็นท์ข้างๆประกอบ สักพักชายในตำนานก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาคนนั้นคือ “ลุงดำ อาปาเช่” นั่นเอง ลุงดำแกน่าจะจำพวกเราได้เพราะว่าแกเห็นพวกเราแกก็หยุดคุยกับพวกเราด้วยความคุ้นเคย
พร้อมกับสร้างความเฮฮาให้พวกเราอีกเช่นเคย ย้ำอีกครั้งถ้าใครอยากรู้ว่าลุงดำฮาแค่ไหนก็ลองไปเที่ยวที่ดอยหลวงเชียงดาวดูครับ
“เวลา 09:00 น.” ได้เวลาที่พวกเราต้องเดินเท้าลงไปยังด้านล่างกันแล้ว แต่ภารกิจส่วนตัวของผมนั้นยังไม่จบ เนื่องจากทริปนี้ผมตั้งใจจะได้เห็นซากฟอสซิลหอยที่ติดอยู่ตรงก้อนหินระหว่างทางเดินและวันนี้ผมต้องเห็นกับตาตัวเองให้ได้ หลังจากเมื่อวานตอนขาขึ้นมาผมหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พวกเราพร้อม ลูกหาบก็พร้อมเช่นกัน ไปครับได้เวลาเดินเท้าลงกันแล้วครับ เดินกันยาวๆไปเลยครับเจอกันอีกทีตรงสามแยกครับ
การเดินเท้าขาลงวันนี้ผมเดินตามลูกหาบผมติดๆเลยครับ เพราะไม่อยากพลาดโอกาสการที่จะได้เห็นซากฟอสซิลหอย
พวกเราเดินเท้าตามลงมากันเรื่อยๆ ทันใดนั้นระหว่างที่พวกเรากำลังเดินลงมานั้นลูกหาบของผมได้ชี้ให้ดูเจ้าเลียงผาที่ยืนตระหง่านอยู่บนหน้าผา ตอนแรกผมก็ไม่เห็นหรอกครับแต่มารู้ว่ามันคือเลียงผาก็ตอนที่มันขยับหัวนั่นแหละถึงได้รู้ จากจุดที่ผมได้เห็นเลียงผาเดินต่อมาอีกเดียวลูกหาบผมและคุณเก่งก็หยุดนั่ง
และชี้ให้ผมได้ดูซากฟอสซิลหอยที่ติดอยู่ตรงหิน พอผมเห็นเท่านั้นแหละ ทำให้ผมรู้เลยว่าทำไมเมื่อวานนี้ผมถึงไม่เห็น
ซากฟอสซิลหอยติดอยู่กับก้อนหินมี 2 ก้อนนะครับและก้อนก็ไม่ได้ใหญ่มากด้วย ถ้าไม่ใช่คนที่ชำนาญทางจริงๆ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน ผมต้องขอขอบคุณลูกหาบผม (พี่หญ้า) มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่ทำให้ภารกิจในการมาดอยหลวงเชียงดาวครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ ต่อจากนี้ก็เดินกันยาวๆเลยครับ
“เวลา 10:15 น.” ตอนนี้เราเดินมาถึงทางสามแยกกันแล้วครับ พวกเราทำเวลาได้ดีมากครับ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรบอกลุงมาว่าตอนนี้ผมเดินเท้ามาถึงสามแยกแล้ว ลุงมาจะได้กะเวลามารอรับผมถูก ตอนขาขึ้นดอยเราขึ้นทางเด่นหญ้าขัด ส่วนขากลับเจ้าหน้าที่จะให้เราเดินลงทางปางวัว
สาเหตุที่ทางเจ้าหน้าที่ให้เดินเท้าลงทางปางวัวนั้นก็เพราะว่านักท่องเที่ยวจะได้เห็นบรรยากาศการเดินเท้าทั้งสองทาง อีกทั้งทางปางวัวระยะทางจะสั้นกว่าทางเด่นหญ้าขัด แต่ทางจะสูงชันกว่าเท่านั้นเอง ผมและคุณเก่ง นั่งพัก พลางนั่งรอพี่ไพรินกับพี่มาร์ที่กำลังเดินตามมาไปด้วย ไม่นานนักทุกคนก็มาถึงสามแยก พวกเรานั่งพักกันอยู่สักครู่หนึ่งพอให้หายเหนื่อย พวกเราก็เริ่มออกเดินเท้ากันต่อครับ พวกเราขอเดินเท้าก่อนนะครับ เจอกันอีกทีด้านล่างนะครับ
ผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับถึงแม้ว่าทางปางวัวระยะทางจะสั้นกว่าทางเด่นหญ้าขัดก็จริงแต่ทางค่อนข้างชันและลื่นเอามากๆ อีกทั้งยังต้องใช้พละกำลังในการเดินเป็นอย่างมาก หากใครสนใจมาที่ดอยหลวงเชียงดาวก็ลองศึกษาเส้นทางให้ดีๆนะครับ
ตอนนี้ผมเดินเท้ามาใกล้ถึงปลายทางแล้ว
“เวลา 11:30 น.” ในสุดผมก็เดินเท้ามาถึงจุดที่รถมารอรับกลับที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวจนได้ ผมและเพื่อนๆที่เจอกันข้างบนดอยตกลงกันว่าให้ไปเจอกันที่ทำการเลย ขากลับของผมคนที่ขับรถมารับไม่ใช่ลุงมาแต่เป็นพี่ชัยเนื่องจากลุงมาติดไปรับลูกค้า เมื่อผมเจอพี่ชัยแล้วก็ขึ้นรถและเดินทางกลับ
“เวลา 12:03 น.” พี่ชัยพาผมมาส่งที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ ผมจ่ายค่ารถให้กับพี่ชัย จ่ายค่าลูกหาบกับพี่หญ้าพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นผมก็นำขยะที่แจ้งตั้งแต่ขาขึ้นไปนำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่พร้อมกับรับเงินคืน 1,000 บาทที่ผมวางมัดจำไว้ และสิ่งที่ไปที่ผมอยากทำมากที่สุดนั่นก็คือการอาบน้ำแบบจริงๆจังๆ หลังจากที่ผมอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อตอนเช้ามืดของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 ก่อนออกไปทำงาน ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ โอ้ยๆๆๆ ได้โดนน้ำแล้ว…โว้ย
หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งรอ คุณเก่ง พี่มาร์ และ พี่ไพริน ไปพลางๆ รวมถึงหาที่ชาร์จแบตฯโทรศัพท์ด้วย อีกอย่างขากลับผมกับพี่ไพรินขออาศัยติดรถคุณเก่งกับพี่มาร์ไปลงในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วย(ประหยัดค่ารถไปได้นิดหน่อย อิอิ)
“เวลา 13:00 น.” ทั้ง 3 คนลงมาถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯกันแล้ว ทุกคนจัดการภารกิจส่วนตัวจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่กัน
“เวลา 13:30 น.” พวกเราขับรถออกจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่
ระหว่างที่นั่งรถกลับเข้าไปตัวเมืองเชียงใหม่พวกเราตกลงกันว่าจะไปหาข้าวกินกันก่อนที่จะแยกย้ายกัน ไม่นานนักใช้เวลาสักประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ พวกเราก็ถึงตัวเมืองเชียงใหม่ จากนั้นก็ไปหาร้านข้าวนั่งกินกัน
พวกเราแวะกินข้าวกันที่ร้าน ต๋อง เต็ม โต๊ะ ร้านอาหารชื่อดังย่านนิมมานเหมินตร์
“เวลา 16:30 น.” หลังจากกินข้าวกันเสร็จ คุณเก่งกับพี่มาร์ก็แสดงความมีน้ำใจให้ผมกับพี่ไพรินอีกครั้งโดยการขับรถไปส่งผมกับพี่ไพรินที่อาเขต ซึ่งทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอยากมาก และยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณสำหรับความเป็นมิตรที่มีให้กัน
“เวลา 17:05 น.” คุณเก่งกับพี่มาร์ มาส่งเราถึงที่อาเขต พวกเราแยกย้ายกันตรงนี้ แต่พวกเราก็ได้มีการ Add Facebook และ Line กันเป็นที่เรียบร้อยหากมีโอกาสพวกเราคงได้เจอกันอีก ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ผมกับพี่ไพรินที่จะต้องไปจองตั๋วรถทัวร์เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่พอเราเดินไปสอบถามทั้งรถทัวร์ของ บขส. และ นครชัยฯ ทั้งสองบริษัทนี้เต็มหมดแล้ว เราจึงเดินไปหาบริษัทอื่นและมาได้ตั๋วของบริษัทศรีอินทะวงศ์ทัวร์เราจึงตัดสินใจซื้อเลย เอาจริงๆแล้วผมกะนอนตัวเมืองเชียงใหม่อีก 1 คืนแต่เนื่องจากสภาพร่างกายผมที่เหนื่อยล้าเต็มทีขืนอยู่ต่อผมเองคงไม่สนุกแน่ๆ อีกอย่างไหนๆผมก็ลงเรือลำเดียวกันกับพี่ไพรินแล้วเลยเลือกที่จะเดินทางกลับดีกว่า
อ่อๆลืมบอกเราได้ตั๋วรถออกเดินทางกลับเวลา 18:00 น. ระหว่างนั้นเราก็หาที่ชาร์จแบตฯ ดื่มเบียร์คนละกระป๋องขึ้นรถจะได้หลับสบาย
“เวลา 18:00 น.” ได้เวลาขึ้นรถกลับกรุงเทพฯกันแล้วครับ ถึงเวลาบอกลาเมืองล้านนาแห่งนี้กันแล้ว
รถทัวร์เคลื่อนตัวออกจากอาเขตเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ผมขอตัวพักผ่อนบนรถก่อนนะครับเจอกันอีกทีที่กรุงเทพฯนะครับ
“วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 04:45 น.” ผมกับพี่ไพรินเดินทางมาถึงฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิตซึ่งเราทั้งสองแจ้งกับทางรถทัวร์ไว้ว่าจะลงตรงจุดนี้เนื่องจากใกล้บ้านของเราทั้งสองคน ผมกับพี่ไพรินแยกกันตรงนี้ หลังจากแยกกันผมก็นั่งแท็กซี่เข้าบ้านของผม ผมเดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ และถือว่าเป็นการปิดทริปดอยหลวงเชียงดาวอย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้นอกจากได้ทำตามความฝันและความชอบของตัวเอง ยังได้พบเพื่อนใหม่ มิตรภาพใหม่ ได้คุยกัน ได้แชร์ประสบการณ์ ซึ่งมันช่วยเติมเต็มการเดินทางของผมครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ขอบคุณ คุณเก่ง พี่มาร์ พี่ไพริน ที่มาเจอกันโดยมิได้นัดหมาย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันคือความประทับใจอย่างหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมเลือนโดยเด็ดขาด สุดท้ายฝากถึงนักท่องเที่ยวทุกคนในเมื่อคุณรักที่จะเที่ยวธรรมชาติแล้ว คุณควรจะรักษาธรรมชาติด้วย ธรรมชาติมันจะได้อยู่กับเราไปนาน “ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่มนุษย์เราที่จ้องแต่ทำร้ายธรรชาติ
สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้
จำนวนที่ผมใช้จ่ายไปเมื่อแลกกับความสุขและมิตรภาพที่ผมได้รับมันช่างเป็นอะไรที่คุ้มที่สุดแล้วครับ อีกอย่างสาเหตุที่ค่าใช้จ่ายมันเยอะขนาดนี้เป็นเพราะผมไปคนเดียวไม่ได้แชร์ค่ารถรับส่งขึ้นดอยกับใครครับซึ่งผมยินดีครับ
สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจและพึงปฏิบัติ
รูปภาพส่งท้ายประจำทริปนี้
_____*****_____สวัสดี_____*****_____